ความรัก คือหัวใจ ให้แก่กัน
ความรัก คือนิรันดร์ มั่นสมัคร
ความรัก คือศรัทธา สามิภักดิ์
ความรัก คือความประจักษ์ ในใจเรา
โดย : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
หากเอ่ยถึงคำว่า “รักแท้” ในยุคนี้พ.ศ.นับว่าหาได้ยากเต็มที เพราะว่าส่วนมากจะมีแต่ รักฉาบฉวย รักชั่วคราว รักข้ามคืน จนแทบจะหาความหมายของรักแท้ไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้คนยึดมั่นในรัก ถึงจะมีอุปสรรคขัดขวางรักก็ยังร่วมกันฟันฝ่า
สำหรับเรื่องราวความรักแท้ประเภทแม้ตัวตาย แต่ไม่คลายรักเธอนั้น ได้กลายมาเป็นตำนานรักที่พ้องเข้ากับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง พร้อมๆกับตำนานความรักอมตะที่จารึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้กล่าวถึงและซาบซึ้งในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ
เขาสามมุก-หาดบางแสน : แทนความรักมั่นคง “แสน- สามมุก”
แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ จ.ชลบุรี เมืองดังแห่งภาคตะวันออก ย่อมต้องมีชื่อของชายหาดบางแสนและเขาสามมุกรวมอยู่ด้วย ซึ่งที่นี่เองก็มีเรื่องราวรักแท้ไม่แพ้ที่ไหนๆ ของหนุ่มแสนและสาวสามมุก เรื่องนี้มีอยู่ว่า
ชายทะเลบางแสนในสมัยอดีตนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงหมู่บ้านเล็กๆ “แสน” ลูกชายคนเดียวของกำนันบ่าย ผู้มีฐานะร่ำรวย ในยามว่างหนุ่มแสนชอบที่จะไปเล่นว่าวที่บริเวณชายหาด ในวันหนึ่งว่าวปักเป้าของหนุ่มแสนขาดลอยหายไป “สามมุก” หลานสาวของยายเฒ่าที่ปลูกกระท่อม อยู่บนหน้าผาริมทะเลได้เก็บว่าวนั้นได้
เมื่อหนุ่มแสนได้เจอกับสามมุก ก็รู้สึกถูกตาต้องใจในความงามของสาวน้อย จึงได้มีการนัดพบกันบนหน้าผาแห่งนั้นเสมอ วันหนึ่งแสนและสามมุกก็ได้ในสัญญารักต่อกันว่า ทั้งคู่จะยึดมั่นในความรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหากไม่สามารถได้สมรักก็จะสังเวยชีวิตด้วยกัน ณ ที่หน้าผาอันเป็นที่พบกันครั้งแรกแห่งนี้
แต่เมื่อกำนันบ่ายผู้เป็นพ่อของหนุ่มแสนรู้เข้าก็โกรธเคืองลูกชาย เพราะอยากให้ลูกชายได้แต่งงานกับเจ้าสาวที่มีฐานะร่ำรวยเหมาะสมกัน กำนันบ่ายได้ห้ามแสนไม่ให้คบกับสามมุกอีกต่อไปถ้าขัดคำสั่งก็จะตัดลูกตัดพ่อกันเลย นับจากวันนั้นแสนกับสามมุกก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
กำนันบ่ายได้บังคับให้แสนแต่งงานกับลูกสาวของพ่อค้าที่มีฐานะดี สามมุกได้แต่โศกเศร้าเสียใจคิดว่าคนรักได้ลืมสิ้นกับคำสัญญาและหมดรักในตัวเธอแล้ว เมื่อวันวิวาห์มาถึง สามมุกได้มารดน้ำสังข์ให้แสนและได้วิ่งออกจากงานหนีขึ้นไปบนหน้าผาแล้วกระโดดพุ่งตัวลงมาจากหน้าผาสังเวยชีวิตสมกับที่เคยได้ให้คำมั่นสัญญากันไว้ ต่อหน้าต่อตาหนุ่มแสนที่วิ่งตามมา ไม่ช้าหนุ่มแสนก็กระโจนพุ่งตัวลงจากหน้าผาตามสาวคนรักของตนไปยืนยันในคำมั่นสัญญาที่ตนเองก็ได้เคยให้ไว้กับคนรักว่าจะอุทิศชีวิตสังเวยแด่ความรักที่ไม่สมหวังเช่นกัน
กำนันบ่ายเสียใจที่ตนเองขัดขวางในความรักของลูก จึงได้ตั้งชื่อหน้าผาของหมู่บ้านชาวประมงนั้นว่า "สามมุก" และบริเวณหาดทรายริมทะเลเบื้องล่างหน้าผานั้นก็ได้รับการตั้งชื่อว่า "บางแสน" เพื่อให้ทั้งสองได้อยู่คู่เคียงกันไปชั่วกาลนาน
ซึ่งไม่ว่าเรื่องราวความรักของสามมุกและแสนในอดีตจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่ง แต่ในวันนี้ตำนานรักอมตะของหนุ่มแสนและสาวสามมุกได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดยหนุ่มแสนนั้นกลายเป็น หาดบางแสน อันโด่งดัง ส่วนสาวสามมุกนั้นก็กลายเป็น “เขาสามมุก”โดยมี “เจ้าแม่เขาสามมุก” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนมาเคารพสักการะและบนบานศาลกล่าวกันอยู่เนืองนิจ โดยคนที่มาบนบานศาลกล่าวส่วนมากก็จะนิยมบนด้วยการถวายว่าวดังในตำนานความรักอมตะของหนุ่มแสนและสาวสามมุก
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท : ตำนานรัก “อุสา – บารส”
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ในเขต อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศคือมีหินทรายที่ถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลาเกิดรูปร่างแปลกตาในรูปทรงต่างๆ นับเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในการจัดแต่งกลุ่มก้อนหินให้มีลักษณะต่างๆ ซึ่งคนรุ่นเก่าสมัยก่อนได้นำมาผูกแต่งจินตนาการเป็นเรื่องราวให้สอดคล้องกับสถานที่ นั่นคือ ตำนานรักอุษา-บารส อันลือเลื่อง
พระยาพานผู้ครองเมืองพาน ได้นำธิดาแสนสวยชื่อ “นางอุษา” ไปฝากไว้กับฤาษี ในบริเวณป่าแถวภูพาน เพื่อให้นางอุษาได้ร่ำเรียนวิชา โดยสร้างหอคอยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกว่า หอนางอุษา มีลักษณะเป็นเพิงหินรูปคล้ายดอกเห็ด ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 7 เมตร ตรงผนังหินด้านทิศเหนือของก้อนหินก้อนล่างมีภาพเขียนสีเป็นลายเส้นสีแดง 2-3 เส้น
ต่อมานางอุษาได้ร้อยดอกไม้เป็นรูปหงส์ พร้อมข้อความแสวงหาความรักลงในกลีบดอกไม้ อธิษฐานว่าใครที่จะเป็นคู่ครองของนาง ขอให้เก็บพวงมาลัยพวงนี้ได้และขอให้ได้พบกัน แล้วนำไปลอยน้ำ ปรากฏว่า “ท้าวบารส” โอรสแห่งเมืองพระโค เป็นผู้เก็บได้และนึกรักใคร่นางอุษาทันที ได้ออกเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขากับม้าคู่ใจ จนไปถึงที่อยู่ของนางอุษา ได้ผูกม้าไว้ที่เพิงหิน ซึ่งเรียกว่า คอกม้าท้าวบารส (มีภาพเขียนสีอยู่บนเพิงหินด้านทิศเหนือ)
เมื่อทั้งสองได้พบกัน ความรักก็เกิดขึ้น แต่เมื่อพระยาพานทราบข่าวก็โกรธมาก ได้ท้าพนันสร้างวัดแข่งกัน ภายในเวลาดาวประกายพรึกขึ้น หากฝ่ายใดสร้างเสร็จไม่ทันก็จะถูกตัดศีรษะ ฝ่ายท้าวบารสซึ่งมีแรงงานน้อยกว่า ได้คิดอุบายนำเทียนจุดสว่างไปตั้งอยู่บนปลายไม้เหนือยอดเขา ฝ่ายพระยาพานเข้าใจผิดคิดว่าดาวประกายพรึกขึ้น จึงพากันหยุดสร้างขณะเดียวกันฝ่ายท้าวบารสก็เร่งสร้างจนเสร็จ เช้าขึ้นพอรู้ว่าวัดที่ตนเองสร้างไม่เสร็จ พระยาพานจึงถูกตัดศีรษะตามสัญญา
แต่พระยาพานก็สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ได้และเกิดการสู้รบกัน ท้าวบารสได้สังหารพระยาพาน นางอุษาเศร้าโศกเสียใจมาก ที่ท้าวบารสฆ่าพ่อของตนเอง และเมื่อกลับไปเมืองพะโค ก็ถูกพระมเหสีทั้ง 10 ของท้าวบารสรังแกและออกอุบายให้ท้าวบารส ออกไปสะเดาะเคราะห์ในป่าเป็นเวลา 1 ปี นางอุษาจึงหนีกลับไปที่หอนางอุษาด้วยความรู้สึกผิดหวังในความรักเกิดล้มป่วยเพราะตรอมใจ กระทั่งเสียชีวิตไป ฝ่ายท้าวบารสทราบข่าวก็รีบมาหา เห็นนางอุษาสิ้นชีวิตไป ก็ตรอมใจสิ้นตามนางไปอีกคน
จากตำนานรักอุษา-บารสนี้ ได้ปรากฏเป็นก้อนหินรูปร่างต่างๆ บริเวณภูพระบาท เช่น หอนางอุษา คอกม้าท้าวบารส หีบศพนางอุษา หีบศพท้าวบารส บ่อน้ำนางอุษา กี่นางอุษา และวัดพ่อตา วัดลูกเขย นอกเหนือจากนั้นยังมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ประดับอยู่ตามผนังเกือบทุกแห่ง
สำหรับผู้มาเยือนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นอกเหนือจะได้ชมความงามมหัศจรรย์ของหินรูปทรงต่างๆ แล้ว ยังมีที่เที่ยวอื่นๆในบริเวณใกล้เคียงคือ พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทหลังเต่า พระพุทธบาทบัวบาน รวมถึงถ้ำและเพิงหินต่างๆ ให้ได้ชมกัน
หนองหาน : ด้วยรัก ด้วยเลือด “ผาแดง-นางไอ่”
ภาพเบื้องหน้าของผู้มาเยือน หนองหาน ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีชื่อเสียงและกว้างใหญ่ใน จ.สกลนคร จะเห็นวิถีชีวิตของ ชาวบ้านในชุมชนรอบหนองหาน ที่ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และทำประมง รวมถึงเป็นที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม แต่หลายคนอาจไม่รู้ถึงเบื้องหลังว่าหนองหานแห่งนี้เองคือที่มาของตำนานรัก ผาแดง-นางไอ่ ที่คนเฒ่าคนแก่ชาวอีสานชอบเล่าเป็นนิทานให้ลูกหลานได้ฟัง
“ท้าวผาแดง” รักอยู่กับ “นางไอ่” และเจ้าชายพญานาค ชื่อ ท้าวทังคี ก็ได้หลงรักนางไอ่เหมือนกัน จึงคิดอุบาย โดยการแปลงเป็นกระรอกเผือกมาล่อ แต่ท้าวผาแดงได้ยิงกระรอกเผือกตายและแล่เนื้อมากิน ยิ่งแล่เนื้อกระรอกออกไปมากเท่าไร เนื้อกระรอกก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที ทำให้ทุกคนได้กินอิ่มหนำสำราญ พญาศรีสุทโธ ซึ่งเป็นพญานาคได้ขึ้นมาถล่มเมือง เนื่องจากความโกรธแค้น ที่มนุษย์ได้ฆ่าท้าวทังคี บุตรชายโดยมีเหตุอาเพศ เกิดพายุฝนฟ้ากระหน่ำ ท้าวผาแดงควบม้าพานางไอ่หนี แต่นางไอ่พลัดตกม้ากลางพายุหายไปในเวิ้งน้ำ ปลิดชีวิตผู้คนและบ้านเมืองให้จมหาย กลายมาเป็นหนองหานดังที่เห็นในปัจจุบัน
หลากรสบนตำนาน “ผาชู้”
อีกหนึ่งตำนานความรักที่เกิดกับสถานที่ท่องเที่ยวทางภาคเหนือ คือที่ ผาชู้ หรือ ผาเชิดชู เป็นหน้าผาใหญ่โดดเด่น ซึ่งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.นาน้อย จ.น่าน
คำว่า “ชู้” ไม่ได้หมายถึงชู้สาว แต่หมายถึงคนรัก ซึ่งผาชู้แห่งนี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันมีทิวทัศน์สวยงาม และยังมีเรื่องราวเป็นตำนานในหลายเวอร์ชั่นเล่าสืบต่อกันมา
บ้างก็เล่าว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเกิดรักกัน โดยที่ครอบครัวของฝ่ายหญิงมีฐานะดีกว่าฝ่ายชาย จึงถูกกีดกันจากญาติของผู้ใหญ่ ด้วยความรักกัน ฝ่ายหญิงจึงมา ณ ที่แห่งนี้แล้วได้กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย เมื่อฝ่ายชายทราบเรื่องจึงตามมาและได้พบศพของหญิงสาว จึงเสียใจและกระโดดหน้าผาตายตามกัน หน้าผาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ผาชู้ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
แต่อีกบางตำนานก็ว่าเป็นเรื่องราวของบุตรสาวผู้เลอโฉมของเจ้าเมืองน่าน ไปหลงรักชายหนุ่มสามัญชนผู้ต้อยต่ำ แต่ถูกกำแพงแห่งชนชั้นขวางกั้น จึงพากันหลบหนีไป ฝ่ายเจ้าเมืองน่านจึงได้สั่งให้ทหารออกติดตามมาจนถึงหน้าผาแห่งนี้ ครั้นเมื่อจวนตัวทั้งสองหมดหนทางที่จะหนีต่อไปได้ จึงตัดสินใจกระโดดหน้าผาสูงชันลงมาสิ้นใจ เพราะไม่ต้องการพรากจากคนรัก.....ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกหน้าผาแห่งนี้ว่า “ผาชู้”
ไม่จบเท่านั้น ยังมีตำนานของผาชู้อีกเรื่อง เล่าว่า “เจ้าจ๋วง” เกิดไปหลงรักหญิง 2 คน คือ เจ้าเอื้อง กับ เจ้าจันทน์ผา รักมากจนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกแต่งงานกับใคร จนเมื่อสองสาวเร่งเร้ากดดันมากๆ เข้า เจ้าจ๋วงจึงหนีมาบนดอยผาชู้ เจ้าเอื้องและเจ้าจันทร์ผาตามขึ้นมาก็ยังตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายจึงตัดสินใจกระโดดหน้าผาหนีปัญหารัก ฝ่ายหญิงเสียใจมากจนกระโดดหน้าผาตายตาม ร่างของเจ้าจ๋วงกระเด็นไปอยู่บนสันเขากลายเป็นต้นจ๋วงหรือสนเขา ร่างของเจ้าเอื้องไปติดอยู่บนต้นไม้กลายเป็นต้นเอื้องหรือกล้วยไม้ ส่วนเจ้าจันทน์ผาไปติดอยู่บนหินกลายเป็นต้นจันทน์ผาที่ขึ้นอยู่ตามหน้าผา และหน้าผาแห่งนั้นก็ถูกเรียกขานในกาลต่อมาว่า “ผาชู้”
และบ้างก็บอกว่า ที่มาของชื่อ ผาชู้ นั้นมาจากคำว่า ผาชูธง เนื่องจากบนยอดผานั้น มีเสาธงปักอยู่ และมีการโรยเชือกลงมาด้านล่าง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชักธงขึ้นสู่ยอดเสาบนผาได้ นับเป็นสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คือมีความยาวถึง 200 เมตรเลยทีเดียว นอกจกนี้ที่จุดชมวิวผาชู้ ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์และแม่น้ำน่านที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปตามที่ราบลุ่มอย่างงดงาม
สะพานสารสิน : สะพานรักต่างชนชั้น “อิ๋ว- โกไข่”
ลงใต้ไปที่ภูเก็ต ซึ่งมีตำนานสะพานรักสารสิน หากแต่ตัวเอกของเรื่องไม่ได้ชื่อสารสิน เพราะ “สะพานสารสิน” เป็นชื่อที่ได้มาจากนามสกุลของนายพจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น (เปิดใช้ได้เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510) เป็นสะพานที่สร้างข้ามช่องปากพระเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะภูเก็ตตรงบริเวณท่าฉัตรไชยกับท่านุ่น จ.พังงา และได้กลายมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ เพราะโศกนาฎกรรมความรักที่เกิดขึ้นจริง เมื่อปี 2516
สะพานรัก สารสิน ถิ่นภูเก็ต ตำนานเด็ด รักหวาน นานหนักหนา
หญิงชื่ออิ๋ว ชายโกไข่ ใฝ่ใจลา ลงธารา เย็นยิ่ง เหนือสิ่งใด
เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มหญิงสาวที่แตกต่างกัน ด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม ฝ่ายหญิงชื่อ “อิ๋ว” เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู ส่วนฝ่ายชายเป็นเพียงคนขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง พ่อเลี้ยงอิ๋วแบบเผด็จการไม่ให้อิสระ และต้องการให้แต่งงานกับคนมีฐานะ จึงถูกขัดขวางความรักอย่างหนัก ทั้งสองคนพยายามต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้รักของเธอและเขาสมหวัง ในที่สุดทั้งสองก็ได้ตัดสินใจเอาผ้าขาวม้าผูกมัดตัวทั้งสองติดกัน แล้วกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำ ทิ้งเรื่องราวความรักที่เป็นอมตะให้ผู้คนได้กล่าวขาน
ปัจจุบันนี้ สะพานสารสินได้กำหนดให้ใช้เป็นสะพานขาออกจากจังหวัดภูเก็ต ส่วนสะพานเทพกระษัตรีที่อยู่เคียงกันเป็นสะพานที่รถใช้ เดินทางเข้ามาจากจังหวัดพังงา
สถานีรถไฟบางกอกน้อย : สุดปลายทางรัก “โกโบริ-อังศุมาลิน”
หากเอ่ยถึงสถานีรถไฟธนบุรี หรือสถานีบางกอกน้อย ที่เมื่อมองจากสะพานพระปิ่นเกล้าก็จะเห็นหอนาฬิกาของสถานีตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ต้องกระหวัดนึกไปถึง “คู่กรรม” วรรณกรรมอมตะ ซึ่ง ทมยันตี ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักระหว่างคนสองเชื้อชาติที่ต้องมาผูกพันกันในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 ไว้ได้อย่างน่าประทับใจ
“โกโบริ” ทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น เดินทางเข้ามาประเทศไทยในฐานะนายช่างใหญ่ประจำอู่ต่อเรือแถวบางกอกน้อย และได้พบกับ “อังศุมาลิน” ผู้หญิงที่มีความกล้าหาญ เธอรู้สึกโกรธที่คนต่างชาติมาทำร้ายคนไทย ในขณะที่โกโบริรู้สึกประทับใจในตัวอังศุมาลิน และด้วยเหตุผลทางการเมือง ทำให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน
คืนวันหนึ่ง ใต้ต้นลำพู อังศุมาลินเล่านิทานเกี่ยวกับหิ่งห้อยที่เฝ้าคอยคนรักอยู่ที่ต้นลำพูให้โกโบริฟังโกโบริเองก็เล่านิทานเรื่องความรักของเจ้าหญิงแห่งท้องฟ้ากับชายเลี้ยงวัว ที่ต้องพลัดพรากจากกัน และรอคอยที่จะได้พบกันบนทางช้างเผือก
วนัส อดีตคนรักของอังศุมาลินได้มาคืนคำสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อกัน โกโบริกลับมาเห็นเข้า รู้สึกเสียใจจึงกลับไปที่สถานีรถไฟบางกอกน้อยในขณะที่มีการทิ้งระเบิด อังศุมาลินได้รีบตามโกโบริไปเพื่อจะบอกว่าตนเองเป็นอิสระ และรักเขามากแค่ไหน แต่ปรากฏว่าสถานีรถไฟบางกอกน้อยโดนถล่ม ทหารนอนตายบาดเจ็บมากมาย อังศุมาลิน พบโกโบริโดนระเบิดนอนอยู่ใต้กองไม้ และก่อนที่โกโบริจะสิ้นใจ เขาบอกว่าจะไปรออังศุมาลินบนทางช้างเผือก เหมือนดั่งนิทานของเจ้าหญิงกับชายเลี้ยงวัว
"โปรดไปรอ ที่ตรงโน้นบนท้องฟ้า ท่ามกลางดวงดาราในสวรรค์ ข้ามขอบฟ้าดาวระยับนับอนันต์ จะไปหาคุณบนนั้น ฉันสัญญา....."
เรื่องราวของคู่กรรม “โกโบริ-อังศุมาลิน” ไม่เพียงจะเกี่ยวข้องกับสถานีรถไฟบางกอกน้อยปรากฏเป็นฉากหลังแห่งความเศร้าเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของ “หิ่งห้อยกับต้นลำพู” อยู่ด้วยเพราะมีเรื่องเล่าถึงความเชื่อที่ว่า หิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงโคม ตามหาหญิงคนรักที่ชื่อนางลำพู ซึ่งจมหายไปในแม่น้ำ เพราะฉะนั้น ลำพูจึงเป็นต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นวิญญาณคนรักของตน
หิ่งห้อยกับต้นลำพู อาจจะหาดูได้ในพื้นที่ทั่วไป แต่สำหรับชาวกรุงรอบเกาะรัตนโกสินทร์อาจจะเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย เพราะปัจจุบันมีต้นลำพู เหลือเป็นต้นสุดท้ายอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ ใกล้ๆกับป้อมพระสุเมร ซึ่งแม้อาจจะไม่ใช่ลำพูต้นเดียวกับที่โกโบริอังศุมาลินได้เคยมองแสงหิ่งห้อยด้วยกัน แต่ก็คงจะเป็นตัวแทนให้ผู้คนได้หวนระลึกถึงเรื่องราวความรักที่แสนเศร้าของทั้งสองได้
แสนแสบ : ตำนานรัก “เรียม-ขวัญ”
“อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ เจ็บคำดังหนามยอกแปลบ ๆ แสบแสนจะทน…” บทเพลงแสนแสบอันโด่งดังของ ชรินทร์ นันทนาคร ไม่เพียงจะขับกล่อมได้สุนทรียรมย์เท่านั้น แต่ยังชวนหวนให้นึกถึง “คลองแสนแสบ” และบทประพันธ์ของ “ไม้ เมืองเดิม” กับเรื่องราวของ “ไอ้ขวัญอีเรียม” สองหนุ่มสาว แห่งทุ่งบางกะปิ ซึ่งมีความผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก ขวัญเป็นหนุ่มที่ห้าวหาญ ขยันขันแข็ง ที่สำคัญ เมื่อรักใครแล้วก็ทุ่มเทให้ทั้งชีวิต แต่ความรักของไอ้ขวัญกับอีเรียมก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ทั้งกำนันเรืองพ่อของเรียม และเขียนพ่อของขวัญ ที่ไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร
กำนันเรืองติดการพนัน จนเป็นหนี้บ่อนไก่ชนท่วมตัว และในที่สุด ต้องยกเรียมให้คุณนายทองคำในกรุงเทพฯ เพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ชีวิตของขวัญและเรียม เหมือนจะถูกแยกไปคนละทาง แต่ขวัญเรียมก็ได้ให้สัญญารักมั่นต่อกัน ว่าแม้ต้องจากกันไกลก็จะไม่คลายรัก คุณนายทองคำแนะนำเรียมให้รู้จักกับสมชาย ลูกคหบดีผู้มั่งคั่ง เมื่อเรียมกลับมาที่บางกะปิ และได้รู้ความจริงว่า ขวัญยังรักและรอเธออย่างซื่อสัตย์มั่นคง เขาไม่ยอมสูญเสียเธอไปอีกแล้ว
ดังนั้นแม้จะถูกขัดขวางอย่างหนักจนถึงแก่ชีวิต ก็ไม่อาจพรากความรักของสองหนุ่มสาวแห่งทุ่งบางกะปิได้ “...แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง นี่เป็นโลงทองของเรียม-ขวัญ เขาฝากชีพจม…”
ถึงแม้ทุ่งบางกะปิและคลองแสนแสบในปัจจุบันจะไม่เหลือสภาพของลำคลองท้องทุ่งเหมือนก่อน แต่เรื่องราวของเรียมขวัญก็ได้กลายมาเป็นตำนานความรักให้ได้กล่าวขานและถูกถ่ายทอดผ่านจอภาพยนตร์เป็นที่ติดอกติดใจของผู้ชมเสมอมา
..........................................
คนยุคใหม่เมื่อได้รับรู้ในตำนานรักอมตะของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆแล้ว หากจะนำมาเป็นแนวทางสอนใจในความรักยุคดิจิตอลก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะจะว่าไปแล้วหากโลกนี้ไม่มีความรัก โลกคงจะวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่เป็นแน่แท้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หมายเหตุ : บทความนี้เคยลงเมื่อช่วงวาเลนไทน์ 2548
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จากกรุงเทพฯ ถึงแพร่ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปจนถึงอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ระยะทางประมาณ 90 กม. เลี้ยวขวาไปตามถนนแก้วฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอเวียงสา ไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 45 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนสายนาน้อย-ปางไฮ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083 ไปอีกประมาณ 22 กม. จนถึงผาชู้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่าน
คลองแสนแสบ ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ราวปี พ.ศ. 2380 เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธในการทำศึกกับเขมร ต้นคลองอยู่ที่หัวหมาก เขตพระนคร ปลายคลองไปจรดคลองบางขนาก จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งไหลไปออกแม่น้ำบางปะกง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงมีการขุดต่อจากหัวหมาก ผ่านสระปทุมจนถึงสี่แยกมหานาค รวมระยะทาง 72 กม. สนใจเที่ยวคลองแสนแสบเป็นหมู่คณะ ติดต่อศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร โทร.0-2225-7612-4
หาดบางแสน-เขาสามมุก อยู่ที่จังหวัดชลบุรี สามารถเดินทางจากกรุงเทพ ไปได้หลายเส้นทาง คือ
1. ใช้เส้นทางสายบางนา-ตราด ทางหลวงหมายเลข 34 เข้าสู่จังหวัดชลบุรี
2. ใช้เส้นทางสายกรุงเทพฯ-มีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา-บางปะกง เข้าสู่จังหวัดชลบุรี
3. ใช้เส้นทางสายเก่า ถนนสุขุมวิท ทางหลวงหมายเลข 3 ผ่านจังหวัดสมุทรปราการ ไปจนถึงแยกอำเภอบางปะกง และให้แยกเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 34 ไปจนถึงจังหวัดชลบุรี
4. ใช้เส้นทางหลวงพิเศษ (MOTOR WAY) สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี-พัทยา