โดย : ปิ่น บุตรี

1...ภูกระดึงครั้งล่าสุด
...แฮ่ก แฮ่กๆๆๆ
แม้ว่ายังไม่ถึง “ซำแฮก”แต่ผมก็ออกอาการหอบ แฮ่กๆ เข้าให้แล้ว
นี่ถ้าเป็นสมัยที่ขึ้นภูกระดึงช่วงแรกๆ อาการแบบนี้ไม่มีให้เห็นร็อก แต่ก็อย่างว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่เกี่ยงว่ายาก ดี มี จน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารวันยังค่ำ
แต่หากมนุษย์เรารู้จักถนอมสังขารด้วยการเลือกกินในสิ่งที่เป็นประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างไม่เครียด และพยายามไม่ข้องแวะกับสิ่งที่ลดทอนสมรรถภาพของสังขาร คนที่ทำได้รับรองว่าสังขารร่างกายเสื่อมทรุดหลังวัยอันควรแน่นอน
แต่ประทานโทษ ที่เล่ามานี่ผมทำไม่ได้เลยสักอย่าง!?!
ฉะนั้น หนล่าสุดที่ผมเดินขึ้นภูกระดึง แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น แต่ว่าด้วยเส้นทางเดินที่ชันโคตรโหดหินจากจุดเริ่มต้นสู่ซำแฮก ในระยะทาง 1 กิโลเมตรที่ดูๆแล้วน่าจะเป็น 1 กิโลแม้วมากกว่า อาการหอบแฮ่กๆจึงถามหาตามสังขาร
“ไอ้น้อง เดินอีกนิดก็จะถึงซำแฮกแล้ว บนนั้นเขามีที่พัก มีของขาย มีจุดชมวิวให้นั่งพักกินลมเย็นๆ พ้นจากซำแฮกไปก็เดินสบายแล้วหละ จะมีลำบากอีกทีก็ช่วงสุดท้ายแต่ว่าไม่เหนื่อยขนาดซำแฮกหรอก พอขึ้นไปถึงข้างบน(หลังแป)รับรองว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียว”เสียงคุณลุงที่เดินสวนลงมากล่าวให้กำลังใจ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ
ผมคะเนอายุจากสีผมของคุณลุงน่าจะอยู่ในวัยใกล้เกษียณ แต่จากท่าทางการถือไม้เท้าเดินลงจากภู ดูแล้วทะมัดทะแมงกว่าวันใกล้เกษียณอยู่มากโข
ผมตอบรับคุณลุงด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ ก่อนจะเก็บอาการเดินแบบถนอมแรงขึ้นไปยังจุดหมาย
ในระหว่างทางมีหลายๆคนออกอาการหอบแฮ่กๆคล้ายกัน และก็มีคนที่เดินขึ้น-ลง จากภูทักทายกันไปตลอดระยะ ผู้ที่เดินขึ้นส่วนใหญ่มักจะถามว่า “เดินอีกไกลแค่ไหน?” ส่วนคนที่เดินลงก็จะพูดคล้ายๆกับที่คุณลุงพูดกับผม คือ “...อดทนเดินอีกนิดเดี๋ยวก็ถึงที่พัก....เหนื่อยก็พักกินน้ำก่อน...ถ้าไม่รังเกียจดื่มน้ำของเราก็ได้...ทนอีกนิดข้างบนสวยจนลืมเหนื่อย...และอีกสารพัดคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำมิตรไมตรี...”
สำหรับผมนี่คือบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพที่ตกหล่นมาจากป่าคอนกรีตที่พานพบทุกครั้งในการเที่ยวภูกระดึง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากถึงยากมากที่จะพานพบบรรยากาศเช่นนี้ที่สีลม สุขุมวิท เซนเตอร์พอยน์ และอีกหลายๆที่ในเมืองกรุงฯ
...บางทีแม้แต่ในออฟฟิศของใครหลายๆคนก็ยังไม่มีบรรยากาศแห่งมิตรภาพที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจเยี่ยงนี้...
2...ภูกระดึงครั้งที่ 3
“พี่ๆคะ นิดเอาถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาให้ กินร้อนแก้หนาวดีนะคะ แต่คงแก้เมาไม่ได้”
ผมยังจำเสียงใสๆของน้องนิดได้ดี...
ตอนนั้นสมัยที่ภูกระดึงยังอนุญาตให้หาฟืนมาก่อไฟได้ ผมขึ้นภูกระดึงไปกับกลุ่มเพื่อนชาย(โฉด)ล้วน ส่วนน้องนิดเธอก็ไปกับเพื่อน(หญิงล้วน)ของเธอ และก็บังเอิญว่าเต็นท์ของเราทั้ง 2 ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
ตามประสาผู้ชายวัยนักศึกษา ที่เมื่อมีกลุ่มสาวๆรุ่นราวคราวเดียวกันมากลางเต็นท์อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องย่อมสนใจเป็นพิเศษ แต่กระนั้นพวกเราก็ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาออกไป เพราะเกรงคนจะครหาว่าเป็นพวก“หูดำ” ส่วนที่รู้ว่าเธอชื่อ “นิด”ก็เพราะว่าหูที่กางแต่ยังไม่ดำบังเอิญได้ยินพวกหล่อนคุยกัน(จริงๆแล้วตั้งใจมากกว่า)
ครั้นพอวิกาลมืดมิด อากาศหนาวเหน็บ กองไฟของน้องนิดกับเพื่อนๆไฟดับมืด ส่วนกองไฟของพวกผมกลับสว่างไสวและคึกคักไปด้วยเสียงเพลงผสานเสียงกีตาร์ที่ขับกล่อมในอารมณ์กรึ่มสุราพอประมาณ
จู่ๆ ก็มีผู้หญิงน่ารักตัวเล็กเดินมาจากเต็นท์ข้างๆ พร้อมกับยื่นชามถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาให้ พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงใสๆ
สำหรับถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่น้องนิดนำมาให้นับเป็นมิตรภาพที่ไม่เคยลืมบนภูกระดึง ซึ่งผมอยากจะนำถั่วเขียวไปปลูก พร้อมปลูกต้นรักแซม แต่น่าเสียดายที่ถั่วเขียวต้มน้ำตาลปลูกไม่ได้ ผมกับเพื่อนๆจึงโซ้ยถั่วเขียวชามนั้นหมดลงอย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากคำขอบอกขอบใจน้องนิด ผมเลือกคารวะมิตรภาพแห่งถั่วเขียวต้มน้ำตาลด้วยบทเพลง “รักใน C เมเจอร์” ของวงแกรนเอ๊กซ์
...แอบรักเธออยู่ในใจ อยู่หนใดหมายแอบอิง...
3...ภูกระดึงครั้งที่? (จำไม่ได้)
หลังจากเรียนจบออกมาทำงาน ผมหายหน้าจากภูกระดึงไปหลายปี
ครั้นเมื่อประเหมาะหาวันว่างได้ ผมกับเพื่อนอีก 2 หน่วยก็ออกเดินทางสู่ภูกระดึงในเส้นทางสายเก่า
ต้องยอมรับว่าภูกระดึงในยุคนายกฯปากไว เปลี๊ยนไป๋พอสมควร ดูสะดวกสบายกว่าเก่า ทางเดินในช่วงซำแฮกแม้ยังคงลาดชันเหมือนเดิม แต่ว่าก็มีการปรับทางให้เดินง่ายขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังออกอาการหอบแฮ่กๆทุกทีไป
ส่วนบันไดไม้ที่ปีนป่ายสูงชันแถมยอบแยบในช่วงซำแคร่สู่หลังแป แปรเปลี่ยนเป็นบันไดเหล็กแข็งแรงและเดินง่ายขึ้น ต้นไม้ไผ่ข้างทางที่ไม่ว่าใครเดินขึ้นหรือเดินลง ต้องใช้เป็นที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวยันกายจนผิวมันแผล็บ ถูกแทนที่ด้วยราวเหล็กท่อแป๊บ
นอกจากนี้บรรดาร้านค้าอาคารต่างๆบริเวณที่ทำการบนยอดภู ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามอัตภาพ มีทั้งที่ถูกรื้อทิ้ง และสร้างเพิ่มใหม่ ส่วนเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น พวกเขาก็เลยออกอาการแอ๊คและจุ้ยเป็นเงาตามตัว
สำหรับผมในการเดินทางครั้งนี้ก็เปลี่ยนไปดังเช่นภูกระดึง ความสด ความห้าวหายไป ไม่มีการเดินแบกกีตาร์เดินขึ้นภูเหมือนแต่ก่อน แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมยังคงเห็นได้เสมอที่ภูกระดึงก็คือ บรรยากาศแห่งมิตรภาพที่ตกหล่นจากป่าคอนกรีตที่แม้ว่าวันนี้อาจไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน(อาจเพราะเดินง่ายขึ้น)
เรื่องนี้ผมมาคิดมาคิดไปก็สันนิษฐานเอาว่าบางทีอาจเป็นเพราะ ภูกระดึงนอกจากจะมีอากาศดี ธรรมชาติสวยงามแล้ว ภูกระดึงยังมีสิ่งลดทอนชนชั้นและความร่ำรวยของนักท่องเที่ยวอยู่หลายอย่าง ที่ไม่ว่าจะรวยหรือจน ไฮโซ โลโซ หรือโซโล ก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน นั่นก็คือ เมื่อไปถึงส่วนใหญ่(90 กว่าเปอร์เซนต์)ต้องเดินเท้าขึ้นไป ครั้นพอถึงยอดภูก็ต้องเดินเท้าเที่ยวอีก ส่วนที่จะแตกต่างกันในอภิสิทธิ์ก็เป็นเรื่องของบ้านพักแต่ว่ามีน้อยเต็มทีเพราะบ้านพักบนนั้นจองยากมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงกางเต็นท์นอนในบริเวณเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้บรรยากาศต่างบนภูกระดึงจึงเป็นใจต่อการบ่มเพาะน้ำมิตรไมตรีเป็นอย่างยิ่ง และในครั้งนี้ผมกับเพื่อนก็ได้ร่วมวงกองไฟนั่งร่ำสุราใต้แสงจันทร์กับเพื่อนใหม่รุ่นน้องอีก 2 คน
...ซึ่งจะว่าไปแล้วหลายคนบอกว่านี่มันก็เป็นแค่มิตรภาพในวงสุรา แต่ว่า ณ วันนี้พวกเรายังคงติดต่อกันอยู่...
4...ภูกระดึงครั้งล่าสุด
การขึ้นภูกระดึงครั้งล่าสุดนี้ ก็ยังเป็นเหมือนเช่นเคยคือ ผมได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่ามีนามว่า “ราด” กับ “บอย” ที่เจอกันโดยบังเอิญที่ร้านอาหาร ซึ่งเมื่อคุยมาคุยไป ผมรู้สึกว่าโลกกลมเสียเหลือเกิน
เพราะราดเป็นเพื่อนของน้องที่ออฟฟิศผม ส่วนบอยนั้นก็เคยมาเสนองานกับเพื่อนร่วมออฟฟิศที่ผมรู้จัก
แน่นอนว่าเมื่อโลกกลม วงสุรายิ่งออกรสออกชาติ มิตรภาพยิ่งแน่นแฟ้นเร็ว
และไม่เพียงแค่พวกเรา 3 คนเท่านั้น แต่ว่ารังสีแห่งมิตรภาพยังแผ่ไปถึงเจ้าของร้าน ซึ่งคุณพี่แกก็ได้มาร่วมวงสนทนาด้วย
คืนนั้นผมได้รับรู้หลายเรื่องๆเกี่ยวกับภูกระดึงที่แม้ว่าจะเคยเที่ยวมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าที่ภูกระดึงก็ยังมีเรื่องให้เรียนรู้อยู่ไม่รู้จบ ยกตัวอย่างคำว่า “ซำ” ที่คนที่ผ่านสังเวียนภูกระดึงจะรู้จักกันดี ผมเพิ่งรู้ว่าคำนี้เป็นภาษาถิ่นหมายถึง“น้ำซำ”ซึ่งก็คือ“น้ำซับ” โดยซำต่าง อย่างเช่น ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก ก็คือบริเวณที่มีนำ้ซับ ซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำซับตามซำต่างๆได้ ส่วนปัจจุบันน้ำซับตามซำต่างๆเหือดแห้งหายไปเกือบหมดแล้ว
ด้านจุดชมอาทิตย์อัสดงยอดฮิต อย่าง"ผาหล่มสัก" ที่ชื่อหล่มสักก็เพราะว่าหน้าผาหันหน้าไปทางอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ นอกจากก็ยังมีเรื่องที่ฟังแล้วขนลุกซู่ นั่นก็คือเรื่องราวของอาถรรพ์ต่างๆบนภูกระดึง ที่หากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
ส่วนเรื่องที่เจ้าของร้านเล่าให้ฟังแล้วชวนห่อเหี่ยวก็คือ...โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนั้นมีแน่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมและเดินหน้าไปไกลแล้ว เพียงแต่ว่าที่เงียบๆอยู่นี้ อาจจะรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อน เพื่อผู้อนุมัติสร้างจะได้รอดพ้นจากการถูกโจมตีช่วงหาเสียง
ผมกับเพื่อนใหม่ 2 คนเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ก็ถึงกับอึ้ง...โดยผมรำพึงในใจว่า หากบนภูกระดึงมีกระเช้าจริงๆ บรรยากาศแห่งน้ำมิตรไมตรีบนภูกระดึงคงจะเลือนหายไป เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เหลือผมจึงพยายามที่จะ “เก็บ”มิตรภาพที่ตกหล่นบนภูกระดึงไว้ให้มากที่สุด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ที่สุดแห่งภูกระดึง
จาก“ภูกระดึง”ถึง“เก็บตะวัน”
เสน่ห์“ภูกระดึง” ถึงวันนี้ยังมีมนต์ขลัง
ข้อมูลอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
การเดินทางสู่ภูกระดึง
ที่พักและร้านอาหารบนภูกระดึง
1...ภูกระดึงครั้งล่าสุด
...แฮ่ก แฮ่กๆๆๆ
แม้ว่ายังไม่ถึง “ซำแฮก”แต่ผมก็ออกอาการหอบ แฮ่กๆ เข้าให้แล้ว
นี่ถ้าเป็นสมัยที่ขึ้นภูกระดึงช่วงแรกๆ อาการแบบนี้ไม่มีให้เห็นร็อก แต่ก็อย่างว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่เกี่ยงว่ายาก ดี มี จน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารวันยังค่ำ
แต่หากมนุษย์เรารู้จักถนอมสังขารด้วยการเลือกกินในสิ่งที่เป็นประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างไม่เครียด และพยายามไม่ข้องแวะกับสิ่งที่ลดทอนสมรรถภาพของสังขาร คนที่ทำได้รับรองว่าสังขารร่างกายเสื่อมทรุดหลังวัยอันควรแน่นอน
แต่ประทานโทษ ที่เล่ามานี่ผมทำไม่ได้เลยสักอย่าง!?!
ฉะนั้น หนล่าสุดที่ผมเดินขึ้นภูกระดึง แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น แต่ว่าด้วยเส้นทางเดินที่ชันโคตรโหดหินจากจุดเริ่มต้นสู่ซำแฮก ในระยะทาง 1 กิโลเมตรที่ดูๆแล้วน่าจะเป็น 1 กิโลแม้วมากกว่า อาการหอบแฮ่กๆจึงถามหาตามสังขาร
“ไอ้น้อง เดินอีกนิดก็จะถึงซำแฮกแล้ว บนนั้นเขามีที่พัก มีของขาย มีจุดชมวิวให้นั่งพักกินลมเย็นๆ พ้นจากซำแฮกไปก็เดินสบายแล้วหละ จะมีลำบากอีกทีก็ช่วงสุดท้ายแต่ว่าไม่เหนื่อยขนาดซำแฮกหรอก พอขึ้นไปถึงข้างบน(หลังแป)รับรองว่าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียว”เสียงคุณลุงที่เดินสวนลงมากล่าวให้กำลังใจ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ
ผมคะเนอายุจากสีผมของคุณลุงน่าจะอยู่ในวัยใกล้เกษียณ แต่จากท่าทางการถือไม้เท้าเดินลงจากภู ดูแล้วทะมัดทะแมงกว่าวันใกล้เกษียณอยู่มากโข
ผมตอบรับคุณลุงด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ ก่อนจะเก็บอาการเดินแบบถนอมแรงขึ้นไปยังจุดหมาย
ในระหว่างทางมีหลายๆคนออกอาการหอบแฮ่กๆคล้ายกัน และก็มีคนที่เดินขึ้น-ลง จากภูทักทายกันไปตลอดระยะ ผู้ที่เดินขึ้นส่วนใหญ่มักจะถามว่า “เดินอีกไกลแค่ไหน?” ส่วนคนที่เดินลงก็จะพูดคล้ายๆกับที่คุณลุงพูดกับผม คือ “...อดทนเดินอีกนิดเดี๋ยวก็ถึงที่พัก....เหนื่อยก็พักกินน้ำก่อน...ถ้าไม่รังเกียจดื่มน้ำของเราก็ได้...ทนอีกนิดข้างบนสวยจนลืมเหนื่อย...และอีกสารพัดคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำมิตรไมตรี...”
สำหรับผมนี่คือบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพที่ตกหล่นมาจากป่าคอนกรีตที่พานพบทุกครั้งในการเที่ยวภูกระดึง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากถึงยากมากที่จะพานพบบรรยากาศเช่นนี้ที่สีลม สุขุมวิท เซนเตอร์พอยน์ และอีกหลายๆที่ในเมืองกรุงฯ
...บางทีแม้แต่ในออฟฟิศของใครหลายๆคนก็ยังไม่มีบรรยากาศแห่งมิตรภาพที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจเยี่ยงนี้...
2...ภูกระดึงครั้งที่ 3
“พี่ๆคะ นิดเอาถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาให้ กินร้อนแก้หนาวดีนะคะ แต่คงแก้เมาไม่ได้”
ผมยังจำเสียงใสๆของน้องนิดได้ดี...
ตอนนั้นสมัยที่ภูกระดึงยังอนุญาตให้หาฟืนมาก่อไฟได้ ผมขึ้นภูกระดึงไปกับกลุ่มเพื่อนชาย(โฉด)ล้วน ส่วนน้องนิดเธอก็ไปกับเพื่อน(หญิงล้วน)ของเธอ และก็บังเอิญว่าเต็นท์ของเราทั้ง 2 ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
ตามประสาผู้ชายวัยนักศึกษา ที่เมื่อมีกลุ่มสาวๆรุ่นราวคราวเดียวกันมากลางเต็นท์อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องย่อมสนใจเป็นพิเศษ แต่กระนั้นพวกเราก็ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาออกไป เพราะเกรงคนจะครหาว่าเป็นพวก“หูดำ” ส่วนที่รู้ว่าเธอชื่อ “นิด”ก็เพราะว่าหูที่กางแต่ยังไม่ดำบังเอิญได้ยินพวกหล่อนคุยกัน(จริงๆแล้วตั้งใจมากกว่า)
ครั้นพอวิกาลมืดมิด อากาศหนาวเหน็บ กองไฟของน้องนิดกับเพื่อนๆไฟดับมืด ส่วนกองไฟของพวกผมกลับสว่างไสวและคึกคักไปด้วยเสียงเพลงผสานเสียงกีตาร์ที่ขับกล่อมในอารมณ์กรึ่มสุราพอประมาณ
จู่ๆ ก็มีผู้หญิงน่ารักตัวเล็กเดินมาจากเต็นท์ข้างๆ พร้อมกับยื่นชามถั่วเขียวต้มน้ำตาลมาให้ พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงใสๆ
สำหรับถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่น้องนิดนำมาให้นับเป็นมิตรภาพที่ไม่เคยลืมบนภูกระดึง ซึ่งผมอยากจะนำถั่วเขียวไปปลูก พร้อมปลูกต้นรักแซม แต่น่าเสียดายที่ถั่วเขียวต้มน้ำตาลปลูกไม่ได้ ผมกับเพื่อนๆจึงโซ้ยถั่วเขียวชามนั้นหมดลงอย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากคำขอบอกขอบใจน้องนิด ผมเลือกคารวะมิตรภาพแห่งถั่วเขียวต้มน้ำตาลด้วยบทเพลง “รักใน C เมเจอร์” ของวงแกรนเอ๊กซ์
...แอบรักเธออยู่ในใจ อยู่หนใดหมายแอบอิง...
3...ภูกระดึงครั้งที่? (จำไม่ได้)
หลังจากเรียนจบออกมาทำงาน ผมหายหน้าจากภูกระดึงไปหลายปี
ครั้นเมื่อประเหมาะหาวันว่างได้ ผมกับเพื่อนอีก 2 หน่วยก็ออกเดินทางสู่ภูกระดึงในเส้นทางสายเก่า
ต้องยอมรับว่าภูกระดึงในยุคนายกฯปากไว เปลี๊ยนไป๋พอสมควร ดูสะดวกสบายกว่าเก่า ทางเดินในช่วงซำแฮกแม้ยังคงลาดชันเหมือนเดิม แต่ว่าก็มีการปรับทางให้เดินง่ายขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังออกอาการหอบแฮ่กๆทุกทีไป
ส่วนบันไดไม้ที่ปีนป่ายสูงชันแถมยอบแยบในช่วงซำแคร่สู่หลังแป แปรเปลี่ยนเป็นบันไดเหล็กแข็งแรงและเดินง่ายขึ้น ต้นไม้ไผ่ข้างทางที่ไม่ว่าใครเดินขึ้นหรือเดินลง ต้องใช้เป็นที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวยันกายจนผิวมันแผล็บ ถูกแทนที่ด้วยราวเหล็กท่อแป๊บ
นอกจากนี้บรรดาร้านค้าอาคารต่างๆบริเวณที่ทำการบนยอดภู ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามอัตภาพ มีทั้งที่ถูกรื้อทิ้ง และสร้างเพิ่มใหม่ ส่วนเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น พวกเขาก็เลยออกอาการแอ๊คและจุ้ยเป็นเงาตามตัว
สำหรับผมในการเดินทางครั้งนี้ก็เปลี่ยนไปดังเช่นภูกระดึง ความสด ความห้าวหายไป ไม่มีการเดินแบกกีตาร์เดินขึ้นภูเหมือนแต่ก่อน แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมยังคงเห็นได้เสมอที่ภูกระดึงก็คือ บรรยากาศแห่งมิตรภาพที่ตกหล่นจากป่าคอนกรีตที่แม้ว่าวันนี้อาจไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน(อาจเพราะเดินง่ายขึ้น)
เรื่องนี้ผมมาคิดมาคิดไปก็สันนิษฐานเอาว่าบางทีอาจเป็นเพราะ ภูกระดึงนอกจากจะมีอากาศดี ธรรมชาติสวยงามแล้ว ภูกระดึงยังมีสิ่งลดทอนชนชั้นและความร่ำรวยของนักท่องเที่ยวอยู่หลายอย่าง ที่ไม่ว่าจะรวยหรือจน ไฮโซ โลโซ หรือโซโล ก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน นั่นก็คือ เมื่อไปถึงส่วนใหญ่(90 กว่าเปอร์เซนต์)ต้องเดินเท้าขึ้นไป ครั้นพอถึงยอดภูก็ต้องเดินเท้าเที่ยวอีก ส่วนที่จะแตกต่างกันในอภิสิทธิ์ก็เป็นเรื่องของบ้านพักแต่ว่ามีน้อยเต็มทีเพราะบ้านพักบนนั้นจองยากมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงกางเต็นท์นอนในบริเวณเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้บรรยากาศต่างบนภูกระดึงจึงเป็นใจต่อการบ่มเพาะน้ำมิตรไมตรีเป็นอย่างยิ่ง และในครั้งนี้ผมกับเพื่อนก็ได้ร่วมวงกองไฟนั่งร่ำสุราใต้แสงจันทร์กับเพื่อนใหม่รุ่นน้องอีก 2 คน
...ซึ่งจะว่าไปแล้วหลายคนบอกว่านี่มันก็เป็นแค่มิตรภาพในวงสุรา แต่ว่า ณ วันนี้พวกเรายังคงติดต่อกันอยู่...
4...ภูกระดึงครั้งล่าสุด
การขึ้นภูกระดึงครั้งล่าสุดนี้ ก็ยังเป็นเหมือนเช่นเคยคือ ผมได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่ามีนามว่า “ราด” กับ “บอย” ที่เจอกันโดยบังเอิญที่ร้านอาหาร ซึ่งเมื่อคุยมาคุยไป ผมรู้สึกว่าโลกกลมเสียเหลือเกิน
เพราะราดเป็นเพื่อนของน้องที่ออฟฟิศผม ส่วนบอยนั้นก็เคยมาเสนองานกับเพื่อนร่วมออฟฟิศที่ผมรู้จัก
แน่นอนว่าเมื่อโลกกลม วงสุรายิ่งออกรสออกชาติ มิตรภาพยิ่งแน่นแฟ้นเร็ว
และไม่เพียงแค่พวกเรา 3 คนเท่านั้น แต่ว่ารังสีแห่งมิตรภาพยังแผ่ไปถึงเจ้าของร้าน ซึ่งคุณพี่แกก็ได้มาร่วมวงสนทนาด้วย
คืนนั้นผมได้รับรู้หลายเรื่องๆเกี่ยวกับภูกระดึงที่แม้ว่าจะเคยเที่ยวมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าที่ภูกระดึงก็ยังมีเรื่องให้เรียนรู้อยู่ไม่รู้จบ ยกตัวอย่างคำว่า “ซำ” ที่คนที่ผ่านสังเวียนภูกระดึงจะรู้จักกันดี ผมเพิ่งรู้ว่าคำนี้เป็นภาษาถิ่นหมายถึง“น้ำซำ”ซึ่งก็คือ“น้ำซับ” โดยซำต่าง อย่างเช่น ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก ก็คือบริเวณที่มีนำ้ซับ ซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำซับตามซำต่างๆได้ ส่วนปัจจุบันน้ำซับตามซำต่างๆเหือดแห้งหายไปเกือบหมดแล้ว
ด้านจุดชมอาทิตย์อัสดงยอดฮิต อย่าง"ผาหล่มสัก" ที่ชื่อหล่มสักก็เพราะว่าหน้าผาหันหน้าไปทางอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ นอกจากก็ยังมีเรื่องที่ฟังแล้วขนลุกซู่ นั่นก็คือเรื่องราวของอาถรรพ์ต่างๆบนภูกระดึง ที่หากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
ส่วนเรื่องที่เจ้าของร้านเล่าให้ฟังแล้วชวนห่อเหี่ยวก็คือ...โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนั้นมีแน่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมและเดินหน้าไปไกลแล้ว เพียงแต่ว่าที่เงียบๆอยู่นี้ อาจจะรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อน เพื่อผู้อนุมัติสร้างจะได้รอดพ้นจากการถูกโจมตีช่วงหาเสียง
ผมกับเพื่อนใหม่ 2 คนเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ก็ถึงกับอึ้ง...โดยผมรำพึงในใจว่า หากบนภูกระดึงมีกระเช้าจริงๆ บรรยากาศแห่งน้ำมิตรไมตรีบนภูกระดึงคงจะเลือนหายไป เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่เหลือผมจึงพยายามที่จะ “เก็บ”มิตรภาพที่ตกหล่นบนภูกระดึงไว้ให้มากที่สุด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ที่สุดแห่งภูกระดึง
จาก“ภูกระดึง”ถึง“เก็บตะวัน”
เสน่ห์“ภูกระดึง” ถึงวันนี้ยังมีมนต์ขลัง
ข้อมูลอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
การเดินทางสู่ภูกระดึง
ที่พักและร้านอาหารบนภูกระดึง