โดย...ปิ่น บุตรี

เรื่องนี้เป็นเรื่องหมาๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยวแต่ประการใด
แต่ก็อย่างว่า เมื่อไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ ฉันใดก็ฉันเพล ที่เรื่องหมาๆของผมมันก็มีที่มาจากการเปิดประเด็นของเพื่อนผมคนหนึ่งกลางวงสุรา ซึ่งเป็นการเปิดประเด็นแบบขอความเห็นในเรื่องของพวกไฮโซ ไฮซ้อ และดารา ที่ร่วมกันจัดงานรวมพลคนรักหมาขึ้นมาในชื่อ Hi Dog So Party
แน่นอนว่าความเห็นในวงสุรายามที่แต่ละคนกรึ่มได้ที่นั้นย่อมมีความหลากหลายแตกต่างกันออกไป
บางคนกลับอิจฉาหมาที่กินดี อยู่ดี และมีคนดูแลอย่างดี
บางคนหมั่นไส้ในความเว่อร์ของพวกไฮโซ
“แต่กูกลับสงสารพวกเด็กยากจน เด็กกำพร้า กับพวกเด็กที่ไม่ค่อยมีกินว่ะ”
ไอ้คนเปิดประเด็นมันโพล่งขึ้นมา งานนี้เล่นเอาวงสุราเกิดอาการงุนงงสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
แต่พอมันเฉลยขึ้นมาทุกคนก็ถึงบางอ้อ
“ก็แทนที่จะเอาเงินจัดงานไปเลี้ยงข้าวเด็กกำพร้า หรือเจียดตังค์บางส่วนที่ซื้อของราคาแพงระยับให้หมา ไปบริจาคเป็นอาหารกลางวันให้เด็กยากจน”
ไอ้คนเปิดประเด็นบ่นขึ้นมาแบบมีเหตุผลอยู่ในที จากนั้นมันก็คะยั้นคะยอให้ผมออกความเห็นบ้าง
“ไม่มีความเห็นโว้ย !!! เพราะกูเกลียดหมา!!!”
อีกครั้งกับสำนวนไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ เพราะอาการเกลียดหมาของผมนั้นมันมีที่มาที่ไป โดยอาการนี้เริ่มขึ้น สมัย ป.4 ยุคที่เรียนเรื่องของ มานี ปิติ ชูใจ
ครั้งนั้นข้างบ้านผมเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ตัวมันประมาณเอวเห็นจะได้(เอวเด็ก ป.4) ส่วนเป็นพันธุ์อะไรนั้นไม่รู้เพราะไม่เคยสนใจหมา
ผมก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่ชอบเล่นกับหมา กับแมว กับไอ้ตูบตัวนี้ผมเล่นกับมันเป็นประจำ การโดนข่วน โดนงับนิดงับหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่มาวันหนึ่งไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้นมา พอเลิกเรียนผมก็เล่นกับไอ้ตูบข้างบ้านตามปกติ แล้วแม่ผมก็เรียกให้เข้าบ้านไปกินข้าว ผมก็พักการเล่นกับมันแล้วเดินเข้าบ้านตามปกติ
แต่จู่ๆก็เสียวแป๊บขึ้นที่ก้น จากนั้นก็ “โอ๊ย!!!จ๊าก!!! โฮๆๆๆ...”
ก็ไอ้ตูบนะสิ มันเดินนิ่มๆเข้ามางับก้นนิ่มๆของผมอย่างสุดแรง เขี้ยวมันทะลุกางเกงเข้าไปถึงเนื้อในเลือดไหลซิบๆ รอยเขี้ยวฝังเป็นรู
หลังจากนั้นดวงผมกับดวงหมาถือเป็นเส้นคู่ขนาน พร้อมๆกับอาการเกลียดหมาที่บ่มเพาะเรื่อยมาตามลำดับ
แต่ถึงแม้ผมจะประกาศตัวชัดเจนว่า “กูเกลียดหมา” แต่ในชีวิตก็มีเรื่องให้เกี่ยวพันกับหมาอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น
คืนไหนร่ำสุราเมาหนักไปหน่อย ก็จะอ๊วกออกมาให้หมาช่วยกิน ดังคำกล่าวที่ว่า “เมาเผื่อหมา”
บางทีเจอพวกที่ปากไม่ดี ชอบแกว่งปากหาเท้า หรือชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ก็จะเอ่ยปากชมพวกนี้ว่า พวก “ปากหมา”
ส่วนพวกที่จิตใจคับแคบ ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ประจบสอพลอ คดในข้องอในกระดูก หน้าเนื้อใจเสือ พวกนี้ก็ได้รับเกียรติให้เป็น พวก “ใจหมา”
และที่ถือว่าเป็นสุดยอด ก็คือคนที่รวมเอาไว้ด้วย ความปากหมา ความใจหมา และความเลวระยำอีกสารพัดอย่าง พวกนี้ถือว่าอยู่ในขั้นสูงสุดคือ พวก “ชาติหมา”
ซึ่งบางครั้งในชีวิตของเราก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงคนพวกนี้ได้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องหมาๆแบบทางอ้อมที่มาเกี่ยวข้องกับคน
ส่วนเรื่องราวตรงๆเกี่ยวกับหมาที่ผมยังจดจำไม่รู้ลืมก็เป็นสมัยที่ผมเรียนมหา’ลัย ช่วงปิดเทอมรอยต่อระหว่างปี 1 กับ ปี 2
ในช่วงนั้นคณะผมมีกิจกรรมติวน้องเอนทรานซ์ ผมในฐานะคีย์แมนสำคัญที่ที่ต้องร่วมสังสรรค์ร่ำสุรากับเพื่อนๆในทุกเย็นหลังติวน้องเสร็จ งานนี้เพื่อนๆได้มอบเกียรติให้เป็นคนนอนเฝ้าของที่ห้องกิจกรรมคณะในยามค่ำคืน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นมีหมาจรจัดตัวหนึ่งเข้ามาเดินป้วนเปี้ยนในคณะ
แน่นอนว่าคนเกลียดหมาอย่างผมไม่ได้สนใจมันร๊อก รู้แต่ว่ามันเป็นหมาตัวสีดำ พันธุ์อะไรก็ไม่รู้เพราะชีวิตนี้ไม่เคยสนใจหมา แต่ที่เจ้าหมาตัวนี้มีลักษณะพิเศษต่างไปจากหมาทั่วไปก็คือ เท้าด้านขาหน้าซ้ายของมันขาดเสมอข้อ เวลามันเดินมันจะต้องงอขาหน้าซ้ายขึ้นแล้วขโยกเขยก 3 ขา ไปอย่างทุลักทุเล
ผมเรียกหมาตัวนี้ว่า “ไอ้ขาเป๋” ที่ก็ไม่รู้ว่าฟ้าลิขิตให้ดวงเราทั้ง 2 มาบรรจบกันได้อย่างไร
ค่ำวันหนึ่งในช่วงติวน้อง หลังจากกรึ่มสุราได้ที่ ท้องเริ่มร้องถามหาความหิว ผมลุกจากวงสุราไปหาอะไรหม่ำ พร้อมๆกับซื้อไก่ย่างติดมือกลับมาเป็นกับแกล้ม
ระหว่างทางกลับที่ถังขยะหน้าคณะ เห็นไอ้ขาเป๋กำลังคุ้ยหาของกินอยู่ ไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับคนเกลียดหมาอย่างผม
ผมโยนไก่หนึ่งน่องให้ไอ้ขาเป๋ ซึ่งมันก็ตรงนี่เข้าไปแทะกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
หลังจากนั้นมา เวลาไอ้ขาเป๋เห็นผมเดินผ่านมันก็มักจะวิ่งโขยกเขยกเข้ามาคลอเคลีย เวลาผมให้ข้าวให้กับแกล้มมันกินมันก็จะตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนแรกผมเข้าใจว่าที่มันทำแบบนี้เพราะต้องการประจบเอาของกิน แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด!!!
เพราะในคืนวันที่เมาหนักผมนอนสลบอยู่หน้าคณะ ครั้นพอตื่นขึ้นมาเห็นไอ้ขาเป๋นอนอยู่ข้างๆ ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะต้องไปโวยวายพวกเพื่อนร่วมก๊วนก่อน ที่ปล่อยให้ผมนอนตากยุงอยู่คนเดียว ไม่ยอมปลุกหรือลากเข้าไปนอนในคณะ
“กูจะเข้าไปลากมึงขึ้นไปนอนแล้ว แต่ว่าไอ้หมาตัวที่นอนข้างๆมึงมันไม่ยอม แม่ม! จ้องจะกัดท่าเดียว ไม่ใช่กูคนเดียวนะ ใครที่เดินไปใกล้ๆมึงมันก็เห่าเอา”
เพื่อนร่วมก๊วนสุราคนหนึ่งสาธยายให้ฟัง
นับแต่นั้นมา ระหว่างผมกับไอ้ขาเป๋ดูเหมือนว่าจะมีเส้นใยบางๆเกาะเกี่ยวเราทั้ง 2 ไว้ด้วยกัน
ช่วงติวน้องเวลาผมนอนในห้องกิจกรรม ยามวิกาลดึกๆ เวลามีคนหน้าแปลกเดินผ่านไป-มา ไอ้ขาเป๋มันจะคอยเห่าเตือน ดูประหนึ่งว่ามันเป็นเวรยามส่วนตัวของผมในยามนอนค้างคณะ
หนึ่งสัปดาห์ของการติวน้องผ่านพ้นไป ภารกิจนอนค้างเฝ้าของที่ห้องกิจกรรมเสร็จสิ้น ถึงเวลาที่ผมกลับบ้านกลับช่องไปให้พ่อ-แม่เห็นหน้ากันลืมบ้าง
คืนวันเสร็จสิ้นภารกิจผมเดินจากคณะไปสนามหลวงเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้านโดยมีไอ้ขาเป๋โขยกเขยกตามไปข้างๆ พอรถเมล์สายที่ต้องการมา ผมจะเดินไปขึ้นก็ไม่รู้ว่าวันนั้นไอ้ขาเป๋มันเป็นอะไร มันวิ่งตามจะไปขึ้นรถด้วย แน่นอนว่างานนี้ไอ้ขาเป๋ขึ้นไม่ได้ ส่วนผมก็ขึ้นไม่ได้เช่นกัน เพราะเวลาที่เดินไปขึ้นรถเมล์ทีไรมันจะวิ่งโขยกเขยกตามติดไปด้วย
สุดท้ายผมต้องซื้อไก่ย่างเอามาหลอกล่อให้ไอ้ขาเป๋กิน รอจนมันเผลอได้ที่ พอรถเมล์สายไหนมาก็รีบวิ่งปรื๋อขึ้นไปก่อนแล้วค่อยไปหารถสายที่กลับบ้านขึ้นต่อเอา
แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นสายตาไอ้ขาเป๋ แต่ว่าก็ยังช้าไป เพราะผมขึ้นเมล์ไปแล้ว ไอ้ขาเป๋วิ่งโขยกเขยกกวดตามมา แต่ว่าก็ช้าไปแล้วเป๋ รถเมล์วิ่งห่างออกไปเลย ภาพของไอ้ขาเป๋ก็ค่อยถอยห่างไปเรื่อยๆ...
ประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา ผมนัดเจอกับเพื่อนไปที่คณะ งานนี้ก่อนเข้าไปผมแวะซื้อน่องไก่ 2 ไม้เพื่อเอาไปให้ไอ้ขาเป๋ แต่ว่าพอไปถึงหาไอ้ขาเป๋ไม่เจอ ไปถามยามก็ได้คำตอบมาว่า
“ไอ้หมาที่ขาเดี้ยงๆตัวนั่น มันโดนกทม.จับไปพร้อมๆกับหมาอีกหลายตัว ในมหา’ลัย แต่ก่อนที่มันจะโดนจับ ผมเห็นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ห้องกิจกรรมคณะคุณทุกวันเลย น่าสงสารมันเหมือนกันโดนกทม.จับไปอย่างนี้คงจะรอดยาก”
เมื่อผมได้ฟังถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออก...
คืนนั้น ภาพไอ้ขาเป๋วนเวียนอยู่ในสมองสลับกับน้ำตาที่ไหลอาบ 2 แก้มของผม คนที่ประกาศเจตนารมณ์มาโดยตลอดว่า “กูเกลียดหมา กูเกลียดหมา”
เรื่องนี้เป็นเรื่องหมาๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยวแต่ประการใด
แต่ก็อย่างว่า เมื่อไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ ฉันใดก็ฉันเพล ที่เรื่องหมาๆของผมมันก็มีที่มาจากการเปิดประเด็นของเพื่อนผมคนหนึ่งกลางวงสุรา ซึ่งเป็นการเปิดประเด็นแบบขอความเห็นในเรื่องของพวกไฮโซ ไฮซ้อ และดารา ที่ร่วมกันจัดงานรวมพลคนรักหมาขึ้นมาในชื่อ Hi Dog So Party
แน่นอนว่าความเห็นในวงสุรายามที่แต่ละคนกรึ่มได้ที่นั้นย่อมมีความหลากหลายแตกต่างกันออกไป
บางคนกลับอิจฉาหมาที่กินดี อยู่ดี และมีคนดูแลอย่างดี
บางคนหมั่นไส้ในความเว่อร์ของพวกไฮโซ
“แต่กูกลับสงสารพวกเด็กยากจน เด็กกำพร้า กับพวกเด็กที่ไม่ค่อยมีกินว่ะ”
ไอ้คนเปิดประเด็นมันโพล่งขึ้นมา งานนี้เล่นเอาวงสุราเกิดอาการงุนงงสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
แต่พอมันเฉลยขึ้นมาทุกคนก็ถึงบางอ้อ
“ก็แทนที่จะเอาเงินจัดงานไปเลี้ยงข้าวเด็กกำพร้า หรือเจียดตังค์บางส่วนที่ซื้อของราคาแพงระยับให้หมา ไปบริจาคเป็นอาหารกลางวันให้เด็กยากจน”
ไอ้คนเปิดประเด็นบ่นขึ้นมาแบบมีเหตุผลอยู่ในที จากนั้นมันก็คะยั้นคะยอให้ผมออกความเห็นบ้าง
“ไม่มีความเห็นโว้ย !!! เพราะกูเกลียดหมา!!!”
อีกครั้งกับสำนวนไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ เพราะอาการเกลียดหมาของผมนั้นมันมีที่มาที่ไป โดยอาการนี้เริ่มขึ้น สมัย ป.4 ยุคที่เรียนเรื่องของ มานี ปิติ ชูใจ
ครั้งนั้นข้างบ้านผมเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ตัวมันประมาณเอวเห็นจะได้(เอวเด็ก ป.4) ส่วนเป็นพันธุ์อะไรนั้นไม่รู้เพราะไม่เคยสนใจหมา
ผมก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่ชอบเล่นกับหมา กับแมว กับไอ้ตูบตัวนี้ผมเล่นกับมันเป็นประจำ การโดนข่วน โดนงับนิดงับหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่มาวันหนึ่งไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้นมา พอเลิกเรียนผมก็เล่นกับไอ้ตูบข้างบ้านตามปกติ แล้วแม่ผมก็เรียกให้เข้าบ้านไปกินข้าว ผมก็พักการเล่นกับมันแล้วเดินเข้าบ้านตามปกติ
แต่จู่ๆก็เสียวแป๊บขึ้นที่ก้น จากนั้นก็ “โอ๊ย!!!จ๊าก!!! โฮๆๆๆ...”
ก็ไอ้ตูบนะสิ มันเดินนิ่มๆเข้ามางับก้นนิ่มๆของผมอย่างสุดแรง เขี้ยวมันทะลุกางเกงเข้าไปถึงเนื้อในเลือดไหลซิบๆ รอยเขี้ยวฝังเป็นรู
หลังจากนั้นดวงผมกับดวงหมาถือเป็นเส้นคู่ขนาน พร้อมๆกับอาการเกลียดหมาที่บ่มเพาะเรื่อยมาตามลำดับ
แต่ถึงแม้ผมจะประกาศตัวชัดเจนว่า “กูเกลียดหมา” แต่ในชีวิตก็มีเรื่องให้เกี่ยวพันกับหมาอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น
คืนไหนร่ำสุราเมาหนักไปหน่อย ก็จะอ๊วกออกมาให้หมาช่วยกิน ดังคำกล่าวที่ว่า “เมาเผื่อหมา”
บางทีเจอพวกที่ปากไม่ดี ชอบแกว่งปากหาเท้า หรือชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ก็จะเอ่ยปากชมพวกนี้ว่า พวก “ปากหมา”
ส่วนพวกที่จิตใจคับแคบ ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ประจบสอพลอ คดในข้องอในกระดูก หน้าเนื้อใจเสือ พวกนี้ก็ได้รับเกียรติให้เป็น พวก “ใจหมา”
และที่ถือว่าเป็นสุดยอด ก็คือคนที่รวมเอาไว้ด้วย ความปากหมา ความใจหมา และความเลวระยำอีกสารพัดอย่าง พวกนี้ถือว่าอยู่ในขั้นสูงสุดคือ พวก “ชาติหมา”
ซึ่งบางครั้งในชีวิตของเราก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงคนพวกนี้ได้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องหมาๆแบบทางอ้อมที่มาเกี่ยวข้องกับคน
ส่วนเรื่องราวตรงๆเกี่ยวกับหมาที่ผมยังจดจำไม่รู้ลืมก็เป็นสมัยที่ผมเรียนมหา’ลัย ช่วงปิดเทอมรอยต่อระหว่างปี 1 กับ ปี 2
ในช่วงนั้นคณะผมมีกิจกรรมติวน้องเอนทรานซ์ ผมในฐานะคีย์แมนสำคัญที่ที่ต้องร่วมสังสรรค์ร่ำสุรากับเพื่อนๆในทุกเย็นหลังติวน้องเสร็จ งานนี้เพื่อนๆได้มอบเกียรติให้เป็นคนนอนเฝ้าของที่ห้องกิจกรรมคณะในยามค่ำคืน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นมีหมาจรจัดตัวหนึ่งเข้ามาเดินป้วนเปี้ยนในคณะ
แน่นอนว่าคนเกลียดหมาอย่างผมไม่ได้สนใจมันร๊อก รู้แต่ว่ามันเป็นหมาตัวสีดำ พันธุ์อะไรก็ไม่รู้เพราะชีวิตนี้ไม่เคยสนใจหมา แต่ที่เจ้าหมาตัวนี้มีลักษณะพิเศษต่างไปจากหมาทั่วไปก็คือ เท้าด้านขาหน้าซ้ายของมันขาดเสมอข้อ เวลามันเดินมันจะต้องงอขาหน้าซ้ายขึ้นแล้วขโยกเขยก 3 ขา ไปอย่างทุลักทุเล
ผมเรียกหมาตัวนี้ว่า “ไอ้ขาเป๋” ที่ก็ไม่รู้ว่าฟ้าลิขิตให้ดวงเราทั้ง 2 มาบรรจบกันได้อย่างไร
ค่ำวันหนึ่งในช่วงติวน้อง หลังจากกรึ่มสุราได้ที่ ท้องเริ่มร้องถามหาความหิว ผมลุกจากวงสุราไปหาอะไรหม่ำ พร้อมๆกับซื้อไก่ย่างติดมือกลับมาเป็นกับแกล้ม
ระหว่างทางกลับที่ถังขยะหน้าคณะ เห็นไอ้ขาเป๋กำลังคุ้ยหาของกินอยู่ ไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับคนเกลียดหมาอย่างผม
ผมโยนไก่หนึ่งน่องให้ไอ้ขาเป๋ ซึ่งมันก็ตรงนี่เข้าไปแทะกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
หลังจากนั้นมา เวลาไอ้ขาเป๋เห็นผมเดินผ่านมันก็มักจะวิ่งโขยกเขยกเข้ามาคลอเคลีย เวลาผมให้ข้าวให้กับแกล้มมันกินมันก็จะตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนแรกผมเข้าใจว่าที่มันทำแบบนี้เพราะต้องการประจบเอาของกิน แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด!!!
เพราะในคืนวันที่เมาหนักผมนอนสลบอยู่หน้าคณะ ครั้นพอตื่นขึ้นมาเห็นไอ้ขาเป๋นอนอยู่ข้างๆ ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะต้องไปโวยวายพวกเพื่อนร่วมก๊วนก่อน ที่ปล่อยให้ผมนอนตากยุงอยู่คนเดียว ไม่ยอมปลุกหรือลากเข้าไปนอนในคณะ
“กูจะเข้าไปลากมึงขึ้นไปนอนแล้ว แต่ว่าไอ้หมาตัวที่นอนข้างๆมึงมันไม่ยอม แม่ม! จ้องจะกัดท่าเดียว ไม่ใช่กูคนเดียวนะ ใครที่เดินไปใกล้ๆมึงมันก็เห่าเอา”
เพื่อนร่วมก๊วนสุราคนหนึ่งสาธยายให้ฟัง
นับแต่นั้นมา ระหว่างผมกับไอ้ขาเป๋ดูเหมือนว่าจะมีเส้นใยบางๆเกาะเกี่ยวเราทั้ง 2 ไว้ด้วยกัน
ช่วงติวน้องเวลาผมนอนในห้องกิจกรรม ยามวิกาลดึกๆ เวลามีคนหน้าแปลกเดินผ่านไป-มา ไอ้ขาเป๋มันจะคอยเห่าเตือน ดูประหนึ่งว่ามันเป็นเวรยามส่วนตัวของผมในยามนอนค้างคณะ
หนึ่งสัปดาห์ของการติวน้องผ่านพ้นไป ภารกิจนอนค้างเฝ้าของที่ห้องกิจกรรมเสร็จสิ้น ถึงเวลาที่ผมกลับบ้านกลับช่องไปให้พ่อ-แม่เห็นหน้ากันลืมบ้าง
คืนวันเสร็จสิ้นภารกิจผมเดินจากคณะไปสนามหลวงเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้านโดยมีไอ้ขาเป๋โขยกเขยกตามไปข้างๆ พอรถเมล์สายที่ต้องการมา ผมจะเดินไปขึ้นก็ไม่รู้ว่าวันนั้นไอ้ขาเป๋มันเป็นอะไร มันวิ่งตามจะไปขึ้นรถด้วย แน่นอนว่างานนี้ไอ้ขาเป๋ขึ้นไม่ได้ ส่วนผมก็ขึ้นไม่ได้เช่นกัน เพราะเวลาที่เดินไปขึ้นรถเมล์ทีไรมันจะวิ่งโขยกเขยกตามติดไปด้วย
สุดท้ายผมต้องซื้อไก่ย่างเอามาหลอกล่อให้ไอ้ขาเป๋กิน รอจนมันเผลอได้ที่ พอรถเมล์สายไหนมาก็รีบวิ่งปรื๋อขึ้นไปก่อนแล้วค่อยไปหารถสายที่กลับบ้านขึ้นต่อเอา
แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นสายตาไอ้ขาเป๋ แต่ว่าก็ยังช้าไป เพราะผมขึ้นเมล์ไปแล้ว ไอ้ขาเป๋วิ่งโขยกเขยกกวดตามมา แต่ว่าก็ช้าไปแล้วเป๋ รถเมล์วิ่งห่างออกไปเลย ภาพของไอ้ขาเป๋ก็ค่อยถอยห่างไปเรื่อยๆ...
ประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา ผมนัดเจอกับเพื่อนไปที่คณะ งานนี้ก่อนเข้าไปผมแวะซื้อน่องไก่ 2 ไม้เพื่อเอาไปให้ไอ้ขาเป๋ แต่ว่าพอไปถึงหาไอ้ขาเป๋ไม่เจอ ไปถามยามก็ได้คำตอบมาว่า
“ไอ้หมาที่ขาเดี้ยงๆตัวนั่น มันโดนกทม.จับไปพร้อมๆกับหมาอีกหลายตัว ในมหา’ลัย แต่ก่อนที่มันจะโดนจับ ผมเห็นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ห้องกิจกรรมคณะคุณทุกวันเลย น่าสงสารมันเหมือนกันโดนกทม.จับไปอย่างนี้คงจะรอดยาก”
เมื่อผมได้ฟังถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออก...
คืนนั้น ภาพไอ้ขาเป๋วนเวียนอยู่ในสมองสลับกับน้ำตาที่ไหลอาบ 2 แก้มของผม คนที่ประกาศเจตนารมณ์มาโดยตลอดว่า “กูเกลียดหมา กูเกลียดหมา”