ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เมื่อน้ำนองเต็มตลิ่ง ก็เป็นอันรู้กันว่าเทศกาลลอยกระทงได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจุดประสงค์ของการลอยกระทงนั้น นอกจากจะเป็นการขอขมาลาโทษต่อพระแม่คงคาในการที่เราได้ทำความสกปรกแก่แม่น้ำมาตลอดปีแล้ว ก็ยังมีอีกหลายความเชื่อที่เป็นจุดประสงค์ของการลอยกระทง เช่นมีผู้สันนิษฐานว่าการลอยกระทงน่าจะได้รับอิทธิพลจากพิธีตามประทีป หรือทีปาวลีของอินเดีย ซึ่งมีการลอยกระทงเพื่อบูชาพระพรหม พระอิศวร และพระศิวะ
บ้างก็ว่าการลอยกระทงนั้นมีที่มาจากศาสนาพุทธ คือพญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ไปแสดงธรรมเทศนาในเมืองนาค และเมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับก็ได้ทรงอธิษฐานประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทาเพื่อให้พญานาคได้บูชาแทนตัวพระองค์ และต่อมาชาวพุทธก็ได้บูชารอยพระบาทนั้นกันต่อมา โดยได้นำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป
ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งในวันลอยกระทงก็คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ได้ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาดลอยไปในอากาศ และพระอินทร์เป็นผู้นำผอบแก้วมาบรรจุพระเกศนั้นไว้ และนำไปประดิษฐานไว้ในเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังนั้นชุมชนบางแห่ง โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทย จึงได้มีการปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเป็นการสักการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย
ไม่ว่าใครจะลอยกระทงด้วยความเชื่ออย่างไร แต่มาถึงปัจจุบันนี้ เทศกาลลอยกระทงได้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยในประเทศและชาวต่างชาติให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น และในปีนี้เองที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้สร้างกระแสเพื่อให้มีการเดินทางกระจายไปในทั่วทั้งภูมิภาค ด้วยการจัดงานเทศกาลลอยกระทงขึ้นใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุโขทัย ตาก และอยุธยา ซึ่งแม้จะเป็นการลอยกระทงเหมือนกัน แต่รายละเอียดและเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัดนั้นก็มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจทั้งสิ้น
ลอยโคมยี่เป็งสู่น่านฟ้าจังหวัดเชียงใหม่
แม้วันเพ็ญเดือนสิบสองจะเป็นเทศกาลลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา แต่ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลับมีการลอยโคมยี่เป็งขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีที่บนสวรรค์
ในภาษาเหนือ "ยี่" หมายถึง สอง และ "เป็ง" หมายถึงวันเพ็ญ ดังนั้น "ยี่เป็ง" จึงหมายความถึงวันเพ็ญเดือนสอง (เดือนสองทางจันทรคติของล้านนาตรงกับเดือนสิบสองของภาคกลาง) ซึ่งจุดเด่นของงานประเพณียี่เป็งนั้น อยู่ที่การปล่อยโคมลอยขึ้นไปในท้องฟ้า และเชื่อกันว่า เปลวไฟในโคมยี่เป็งนั้นคือสัญลักษณ์ของความรู้ ส่วนแสงสว่างในโคมจะส่งผลให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง
โคมที่ลอยนั้นมีสองแบบ แบบที่ใช้ปล่อยในเวลากลางวันเรียกว่า "ว่าว" ตัวว่าวนั้นทำด้วยกระดาษหลากสีสัน ส่วนโคมที่ปล่อยในเวลากลางคืนเรียกว่า "โคมไฟ" ทำด้วยกระดาษว่าวสีขาว และใช้ไฟจุดรมไอร้อนให้โคมลอยขึ้น และโคมลอยที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าในวันนั้น ได้สร้างความสวยงามให้ท้องฟ้าจังหวัดเชียงใหม่เป็นอย่างมาก
ประเพณียี่เป็งในปัจจุบันนั้น มีการผสมผสานประเพณีลอยกระทงในแบบของภาคกลางเข้ามา ซึ่งเกิดจากความผูกพันระหว่างชีวิตของคนไทยกับสายน้ำ จนก่อให้เกิดประเพณีไหว้ขอขมาพระแม่คงคา ซึ่งในปีนี้ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดงานประเพณียี่เป็งอย่างยิ่งใหญ่ถึงเก้าวันเก้าคืน คือตั้งแต่วันที่ 19-27 พ.ย. ให้ทุกคนได้เต็มอิ่มกับความสนุกสนานเทศกาลลอยกระทงนี้ ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น ขบวนแห่เทศกาล โคมยี่เป็ง การแสดง แสงสีเสียงกลางน้ำ พิธีบวงสรวงเจดีย์ขาว ขอขมาแม่น้ำปิง ฯลฯ
ประทีปพันดวงบนกระทงสาย ณ ลำน้ำปิง
ภาพแสงไฟวิบวับจากไส้ตะเกียงของกระทงสายที่ลอยเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบไปตามลำน้ำนั้น ยังคงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้เสมอ ซึ่งภาพเช่นนั้นสามารถหาชมได้ ณ ลำน้ำปิง จังหวัดตาก ในช่วงวันลอยกระทง
กระทงสายของจังหวัดตากนี้ เป็นกระทงที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างจากที่อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ที่เห็นข้อแรกก็คือวัสดุที่ใช้ในการทำกระทงสายนั้นทำจากกะลามะพร้าว ภายในกะลามีเพียงเทียนไขที่เคี่ยวจนเหลวเทใส่กะลาที่มีด้ายฝั่นรูปตีนกาวางไว้เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น มิได้มีดอกไม้ธูปเทียน หรือเศษสตางค์เหมือนที่อื่นๆ
เหตุที่กระทงสายของจังหวัดตากทำจากกะลามะพร้าวนั้นก็เนื่องจากว่า ชาวเมืองตากนิยมกินเมี่ยงเป็นอาหารว่าง และเมี่ยงนั้นยังเป็นสินค้าพื้นเมืองที่สำคัญ จึงทำให้ต้องใช้เนื้อมะพร้าวเป็นจำนวนมาก กะลามะพร้าวที่มีอยู่จึงกลายเป็นสิ่งเหลือใช้ ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลลอยกระทง ชาวบ้านจึงนำกะลามะพร้าวเหล่านั้นมาลอยเป็นกระทงสาย
ส่วนความโดดเด่นข้อที่สอง คือการลอยกระทงสายนั้น มิได้ใช้ลอยเพียงแค่1 ใบ เพราะหากลอยด้วยจำนวนเพียงเท่านั้นก็ไม่สามารถจะเรียกว่ากระทงสายได้ แต่ต้องลอยเป็นจำนวนถึง 1,000 ใบทีเดียว
เมื่อถึงเวลาค่ำวันลอยกระทง ชาวบ้านก็จะจัดขบวนแห่มายังริมฝั่งน้ำ และช่วยกันจัด "แพผ้าป่าน้ำ" ซึ่งตกแต่งจากต้นกล้วย ดอกไม้ ธูปเทียน จากนั้นก็จะมีพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระแม่คงคา และตั้งจิตอธิษฐานบูชารอยพระพุทธบาทริมแม่น้ำคงคา เสร็จแล้วก็จะปล่อยแพผ้าป่าน้ำ หรือที่เรียกว่า "กระทงนำ" จากนั้นแต่ละชุมชนก็จะจับฉลากเพื่อแข่งขันกันปล่อยกระทงตาม หรือกระทงที่ทำจากกะลา จำนวน 1,000 ใบ และตามด้วยกระทงปิดท้ายอีกหนึ่งกระทง ซึ่งชุมชนใดที่ปล่อยกระทงตามได้ระยะสม่ำเสมอ แสงไฟไม่ดับไปตลอดคุ้งน้ำก็จะเป็นผู้ชนะไป และนั่นก็คือที่มาของชื่อ "ประเพณีลอยกระทงสาย ไหลประทีปพันดวง" นั่นเอง
ในปีนี้จังหวัดตากได้จัดงานลอยกระทงขึ้นในวันที่ 25-29 พ.ย. และมีการแข่งขันกระทงสายไหลประทีปเพื่อชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ลำน้ำปิง บริเวณลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อำเภอเมืองตาก
เผาเทียน เล่นไฟ กลางอุทยานประวัติศาสตร์
จังหวัดสุโขทัยเป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีการจัดงานเทศกาลลอยกระทงมาอย่างต่อเนื่องทุกปี และเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงนั้น มีต้นกำเนิดในสมัยที่สุโขทัยเป็นราชธานี หรือกว่า 700 ปี มาแล้ว ดังที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า "…เมืองสุโขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ..."
จึงถือได้ว่า ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟของจังหวัดสุโขทัยนี้ เป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่ง และในปีนี้ทางจังหวัดสุโขทัยได้จัดงานเทศกาลลอยกระทงขึ้นในวันที่ 24-28 พ.ย. ซึ่งงานลอยกระทงของจังหวัดสุโขทัยนั้นมีจุดเด่นต่างจากที่อื่นๆ ตรงที่ไปจัดกันกลางอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเลยทีเดียว เรียกว่าให้ได้บรรยากาศการลอยกระทงสมัยสุโขทัยแบบดั้งเดิมจริงๆ และก็ด้วยบรรยากาศที่ว่านี้เองที่เป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นกิจกรรมต่างๆ ภายในงานก็ยังมีความน่าสนใจ เช่น พิธีบวงสรวงพระแม่ย่า และพิธีสักการะพ่อขุนรามคำแหง ขบวนแห่นางนพมาศ ขบวนแห่กระทง การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้ไฟไทยโบราณ การแสดงแสง - เสียง เรื่อง "ราชธานีสุโขทัย" ในบริเวณราชธานีจริงๆ
ลอยกระทงตามประทีป ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
ตามจดหมายเหตุกรุงศรี กล่าวไว้ว่า เมื่อถึงเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูกาล พระมหากษัตริย์ทรงให้ชักโคมจุดพระประทีป และเมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ ในเดือน 12 ก็ทรงให้นำโคมพระประทีปนั้นลงลอยในแม่น้ำ เพื่อเป็นการสักการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในปีนี้ทางจังหวัดอยุธยาได้จัดให้มีงาน "ลอยกระทง ตามประทีป" ขึ้นในวันที่ 25-26 พ.ย. โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการแสดงแสงสีเสียงประกอบสื่อผสม บนเวทีกลางลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องราวที่แสดงนั้นเป็นเรื่องของประเพณีชักโคมลอยพระประทีปแบบอย่างอยุธยาในสมัยโบราณ โดยจะมีการแสดงสองรูปแบบ คือเป็นการแสดงแสงเสียงเกี่ยวกับตำนานประเพณี "ชักโคมลอยพระประทีป" โดยการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร และเทคนิคสื่อผสมหลายรูปแบบ รวมทั้งเทคนิคพิเศษมากมาย ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือการแสดงน้ำพุประกอบดนตรี เพื่อสร้างบรรยากาศก่อนและหลังการแสดง
ทั้ง 5 จังหวัดนี้ต่างก็งัดทีเด็ดของตัวเองมาเป็นจุดขาย จนอาจทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนถึงกับตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเลือกไปลอยกระทงที่จังหวัดไหนดี แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม เชื่อว่าทุกท่านคงจะได้รับความสนุกสนานเหมือนๆ กัน ซึ่งแม้จะต่างกันที่รูปแบบของงาน แต่ความประทับใจที่ได้ เชื่อว่าจะไม่ต่างกันอย่างแน่นอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานเทศกาลลอยกระทงทั้ง 5 จังหวัดได้ที่ โทร. 1672, 0-2250-5500 ต่อ 3969
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
24-26 พ.ย.นี้...กับงาน "สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง"
กทม.เปิด 14 สวนฯให้คนกรุงฯลอยกระทงเต็มอิ่ม
ททท. เนรมิต “สีสันแห่งสายน้ำฯ” ประชัน 12 เรือประดับไฟ
วันเพ็ญนี้ไม่เหงา เชิญเที่ยวชมเงาจันทร์ได้ทั่ว กทม.