ยามที่อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงจากฝนไปสู่หนาวเช่นนี้ สถานที่ยอดนิยมที่มักจะนึกถึงก็คือเมืองเหนือ หรือดินแดนอาณาจักรล้านนาแต่เก่าก่อนอันอุดมพรั่งพร้อมไปด้วยวัฒนธรรมความเชื่ออันงดงามของคนหลากเผ่าพันธุ์ที่ลงหลักปักฐานมาตั้งแต่อดีตนับร้อยปีซึ่ง “น่าน”ก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เชียงใหม่หรือเชียงรายแต่อย่างใด
คำขวัญที่ว่า “แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง”นั้นไม่เกินจริงเลยสำหรับเมืองงามแห่งล้านนาอย่างจังหวัดน่าน
อันว่าน่านนั้นมีชื่อเดิมว่า “นันทบุรี” หรือ “วรนคร” ซึ่งเก่าแก่พอๆ กับสมัยสุโขทัย (ราว 800 ปี) โดยมีพระยาภูคาเป็นผู้สร้างบ้านแปงเมืองบริเวณตำบลศิลาเพชร (ปัจจุบันคืออำเภอปัว) ก่อนที่พระยาการเมืองเจ้าครองนครคนสำคัญอีกคนหนึ่งของเมืองน่าน จะย้ายเมืองมาอยู่บริเวณเชิงดอยภูแช่แห้ง พร้อมกับการนำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนดอยแช่แห้ง ก่อนที่แม่น้ำน่านจะเปลี่ยนทางเดินจนต้องมีการย้ายเมืองอีกครั้งมาริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ณ บ้านห้วยไค้ (อำเภอเมืองปัจจุบัน)
ใครไปเยือนน่านช่วง เดือน 12 อาจจะได้เห็นการแข่งเรืออันน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะสายน้ำน่านที่เอ่อล้นตลิ่งได้ก่อกำเนิด “ประเพณีแข่งเรือ” ซึ่งเริ่มแข่งขันกันตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นประเพณีสืบทอดมาแต่โบราณกาล โดยเรือแข่งของน่านจะเป็นเรือขุดทั้งลำมีเอกลักษณ์ที่ส่วนหัวของเรือ
ซึ่งแกะสลักรูปเศียรของพญานาค เวลานำเรือลงแข่งในแม่น้ำน่านจะมีความสวยงามมาก นับเป็นเรือแข่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและหาดูได้ที่เดียวในประเทศไทย โดยหลังจากการแข่งขันเรือนัดเปิดสนามแล้ว หมู่บ้านต่าง ๆ ก็จะเริ่มจัดการแข่งขันเรือกันขึ้นตามเทศกาล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ตามหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำน่าน โดยจะมีการกินสลากหรือประเพณีถวายทานสลากภัต ขณะที่จะมีการแข่งขันเรือแข่งกันไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดเทศกาลในการแข่งขันนัดปิดสนาม
มาน่านแล้วหากใครละเลยไม่ไป “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน” ในตัวเมืองคงน่าเสียดาย เพราะการไปเยือนบ้านเมืองใดนั้นแล้วหากอยากทราบความเป็นมา ย่อมสามารถรู้ได้จากการไปเยือนพิพิธภัณฑ์ของเมืองนั้น พิพิธภัณฑ์ของจังหวัดน่านอยู่ในตัวเมืองเก็บค่าเข้าชมย่อมเยาเพียง 10 บาท
ที่นี่เดิมคือ “หอคำ” ซึ่งหมายความว่าเคยเป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองน่านมาก่อน ซึ่งถูกปรับมาใช้เป็นพิพิธภัณฑ์โดยความประสงค์ของบุตรหลานแห่งเจ้ามหาพรมสุรธาดาเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย ที่แห่งนี้ได้เก็บรักษาของโบราณคู่บ้านคู่เมืองเอาไว้หลายอย่าง แต่ที่ควรจะไปชมให้ได้คือ “งาช้างดำ” ซึ่งได้รับมอบเป็นสมบัติของชาติพร้อมๆ กับหอคำแห่งนี้ ซึ่งมีประวัติกล่าวว่าได้รับมาจากเมืองเชียงตุง (อยู่ในรัฐฉานของพม่า) งานี้เป็นงาช้างข้างซ้ายเป็นงาปลีมีเปลือกสีน้ำตาลเข้มยาวเกือบ 1 เมตร หนักประมาณ 18 กิโลกรัม
ออกจากพิพิธภัณฑ์เมืองน่านแล้ว เดินไปอีกนิดก็จะถึง วัดภูมินทร์ วัดนี้มีชื่อดั้งเดิมตามชื่อผู้สร้างว่า “วัดพรหมินทร์” แต่ต่อมาก็เพี้ยนเสียงตามธรรมเนียมไปกลายเป็น “วัดภูมินทร์” วัดนี้เป็นวัดที่โดดเด่นไปด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างคือ พระอุโบสถและวิหารใช้ร่วมกัน (เป็นหลังเดียว) สร้างเป็นอาคารแบบทรงจตุรมุขอยู่บนนาคสะดุ้งขนาดใหญ่ที่แห่แหนตัวโบสถ์ไว้กลางลำตัว ซึ่งกรมศิลปากรเชื่อว่าโบสถ์ที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นหลังแรกในเมืองไทย และด้วยความแปลกนี้ ทำให้ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศงดงามมากถึงขนาดครั้งหนึ่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สองรัฐบาลไทยพิมพ์รูปวัดลงบนธนบัตรใบละ 1 บาทมาแล้วและยังได้รับการจำลองไปไว้ที่เมืองโบราณสมุทรปราการด้วย
ความงามใช่ว่าจะอยู่ที่สถาปัตยกรรมและพระพุทธรูปอย่างเดียว ลองมองไปที่ผนังโบสถ์ก็จะพบกับ “ฮูบแต้ม” จิตรกรรมฝาผนังชั้นยอด เล่าเรื่องชาดก ตำนานพื้นบ้าน และวิถีชีวิตของคนจังหวัดน่านในอดีตกาล หากใครรักที่จะเสพศิลปะอันงดงามของล้านนามาที่วัดนี้ย่อมไม่ผิดหวัง
พอข้ามฝั่งมาจะพบกับ “วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร” ที่มีความโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมซึ่งสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง) รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ “ค้ำ” องค์เจดีย์ไว้ นับเป็นศิลปะเฉพาะตัวของเมืองน่านที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง
น่านยังมีวัดสำคัญๆ อยู่หลายวัดในตัวเมือง วัดที่ไม่สามารถละเลยได้อีกวัดหนึ่งคือ “วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง” อยู่ห่างออกจากตัวเมืองน่านปัจจุบันไปเล็กน้อยซึ่งวัดนี้มีความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับนครน่านแห่งนี้อย่างลึกซึ้งเพราะที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองน่านแต่โบราณสร้างโดยเจ้าพระยาการเมืองผู้ครองนคร องค์พระธาตุในวัดเป็นทรงระฆัง พระองค์พระพิมพ์เงินและทองที่ได้รับมาจากสุโขทัยสมัยพญาลิไทพระธาตุนี้เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ หากคนเกิดปีนั้นได้ไปนมัสการเชื่อว่าจะได้อานิสงส์อย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีวัดที่น่าสนใจอย่าง วัดหนองแดง อำเภอเชียงกลางและวัดหนองบัวซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมของชาวไทลื้อออกมาผ่านจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ให้ชื่นชมความเรืองรองของพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี
ส่วนสถานที่ทางธรรมชาติก็มีมากไม่แพ้จังหวัดอื่นในภาคเหนือด้วยน่านมีพื้นที่ป่าไม้เกือบร้อยละ 90 ของ สถานที่น่าไปเยือนก็ได้แก่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ซึ่งเป็นที่ขึ้นของ ต้นชมพูภูคาที่น่าจะเป็นแหล่งสุดท้ายในโลก หรือจะเป็นอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่มี “เสาดินนาน้อย” (ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเมื่อราว 30,000 ปีก่อน
ที่เป็นดินแดนส้มสีทองนั้น เพราะน่านส้มสีทองเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน เป็นพันธุ์เดียวกับส้มเขียวหวานของรังสิตแต่ส้มสีทองจะมีเปลือกสีเหลืองทอง ด้วยอิทธิพลของดินฟ้าอากาศน่านที่มีอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนต่างกัน 8 องศา เป็นเหตุให้สาร “คาร์ทีนอยพิคเมนต์” ในเปลือกส้มเกิดปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีทอง ซึ่งจะมีผลผลิตมากประมาณกลางเดือนธันวาคม และต้นเดือน มกราคมทางจังหวัดจะจัดให้มีเทศกาลส้มสีทองเป็นงานใหญ่ประจำปีงานหนึ่ง
หากมองหาของฝากไม่ควรพลาด “ผ้าลายน้ำไหล” ของหมู่บ้านไทลื้อซึ่งเป็นหัตถศิลป์มรดกตกทอดมานับร้อยปีของชาวไทลื้อ
เมืองสงบงามในดินแดนล้านนาตะวันออกแห่งนี้ยังมีอะไรให้ไปค้นหา ซึ่งล้วนแต่จะสร้างความประทับใจในแง่งามของความเป็น “น่าน” ได้เป็นอย่างดี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
พักกายพักใจ ไปแอ่ววัดเมืองน่าน