โดย : ปิ่น บุตรี

เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า
เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ
เก็บพลังเก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว...
1...
ย้อนกลับไปในสมัยผมเรียนมัธยมกลาง (ม.3,4) หลังจากอัลบั้ม “ให้มันแล้วไป” ของ “คุณอิทธิ พลางกูร” นักร้องผู้เพิ่งจากไปออกมาสู่แผงเทปได้สักพัก
เพลง “เก็บตะวัน” ที่อยู่ในหน้า B เพลงที่ 2 ก็โด่งดังระเบิดระเบ้อ
สมัยนั้นใครที่เล่นกีตาร์ ไมว่าจะเล่นดีเล่นห่วย หากอยากเท่เล่นกีตาร์โชว์สาว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเล่นลูกเกา(กีตาร์)ในท่อนอินโทรของเพลงเก็บตะวันให้ได้
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ชอบเล่นลูกเกา(กีตาร์)โชว์สาวๆ แถมมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พอหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกา(กีตาร์)เพลงเก็บตะวัน สาวๆร้องกรี๊ด!!! กันพอประมาณ
ที่พวกหล่อนร้องกรี๊ดนั้นไม่ได้ชื่นชมในฝีมือหรอกเพียงแต่ว่า ตอนที่ผมกำลังเกา(กีตาร์)อย่างพลิ้วในอารมณ์นั้น บังเอิญสายกีตาร์มันขาดผึงเฉียดหน้าหล่อนไป เจ้าหล่อนก็เลยร้องกรี๊ด!!! ตอบกับมาเป็นกำลังใจ
ครั้นพอโตขึ้นเดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ผมได้นำเพลงเก็บตะวันพัฒนาต่อเนื่องขึ้นไปเป็นสเต็ปๆ ดังเพลงกระบี่ของเหล่าจอมยุทธ์ในยุทธจักรนิยายของ “โก้วเล้ง”
เพลงกระบี่พัฒนาจาก กระบี่ไร้ผู้ต่อต้าน สู่กระบี่อยู่ที่ใจ และบรรลุขั้นสุดยอดเป็นกระบี่อยู่ทุกหนแห่ง
เช่นกันเพลงเก็บตะวันที่ผมร้องก็พัฒนาจากเพลงเกากีตาร์ร้องโชว์สาว สู่เพลงประจำวงเหล้า ก่อนคลี่คลายสู่เพลงหากินในคาราโอเกะ และวิวัฒนาการถึงขั้นสุดยอดสู่บทเพลงที่ร้องได้ในทุกหนแห่งแม้ว่าจะไม่มีกีตาร์ก็ตามที...
2...
หลายครั้งหลายหนที่เฝ้ารอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ผมมักจะร้องเพลงเก็บตะวันเคล้าคลอไปกับด้วย เพราะว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ดูงดงามที่สุดในหนึ่งวันสำหรับผมมีเพียง 2 ช่วงคือ ยามอาทิตย์ขึ้นกับยามอาทิตย์ตก
แต่ว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ดูงดงามกลับแสนสั้นนัก โดยเฉพาะยามที่ดวงอาทิตย์เป็นดวงกลมเกลี้ยงดูคล้ายไข่แดงนั้นกินเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ก่อนที่ดวงไข่แดงยามเช้าจะกลายเป็นดวงไฟแผดจ้า หรือไม่ก็เลือนหายลับไปกับท้องฟ้าในยามเย็น
ในการเฝ้าชมอาทิตย์ขึ้นหรือตกในแต่ละครั้ง ผมจึงอยากเก็บตะวันไว้ในความทรงจำและในภาพถ่ายให้มากที่สุด เพราะว่าสภาพอากาศและดวงตะวันยามลาลับขอบฟ้าในแต่ละครั้งนั้น เป็นสภาพที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์การควบคุมของมนุษย์
บ่อยครั้งที่ดวงตะวันกลมโตสวยสดงดงาม แต่ก็อีกบ่อยครั้งที่ดวงตะวันไม่แม้แต่จะแย้มดวงมาให้เห็น
อาการสมหวัง ผิดหวังจึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเฝ้าเก็บตะวันไว้ในภาพถ่ายและในดวงใจ
และอาการสมหวัง ผิดหวัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน...
เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย
สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน
หนึ่งตัวตน หนึ่งคน ชีวิตแสนสั้น
เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย
3...
ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้มเมฆหม่น
พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวันสาดแสงแรงกล้า
ส่องให้ฟ้างดงาม
“พี่ๆ เมื่อไหร่จะถึงผาหล่มสักซักที หนูเดินมาหลายกิโล(เมตร)แล้วนะ เหนื่อยๆก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย แถมร้อนชิป...” เสียงรุ่นน้องที่ร่วมเป็นหนึ่งในผู้พิชิตภูกระดึง เธอบ่นเป็นยายเพิ้งแก่ในระหว่างทางเดินเท้าจากที่กางเต๊นท์สู่“ผาหล่มสัก” เพื่อไปรอชมดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ยังภูผาที่มีแท่นหิน และต้นสนเดียวดายขึ้นรับกันอย่างลงตัว
จะว่าไปแล้วผมก็ค่อนข้างเห็นใจเธออยู่ทีเดียว เพราะนี่คือการขึ้นภูกระดึงครั้งแรกของเธอ และหากมาคิดสะสมเมตรจากการเดินเท้าในวันแรก สู่การเดินไปชมพระอาทิตย์ลับฟ้าที่ผาหล่มสักในวันที่ 2 ก็ถือว่าหลักเมตรที่สะสมค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับคนขึ้นภูกระดึงครั้งแรก
วันแรกพวกเราเดินเท้าจากตีนภูขึ้นสู่ยอดภู ผ่านซำแฮก และซำต่างๆไปจนถึงหลังแป จนกลายเป็นหนึ่งในผู้พิชิตภูกระดึงผมสะสมกม.ได้ 5,400 เมตรจากนั้นเดินเท้าทางราบต่อจากหลังแปไปยังที่กางเต็นท์อีก 3,500 เมตร ถึงที่กางเต็นท์พักผ่อนเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกอีก 2,000 เมตร กลับอีก 2,000 เมตร รวมระยะทางวันแรกก็ปาเข้าไปร่วม 13 กิโลเมตรแล้ว
ส่วนวันที่ 2 นี่ยังไม่ได้คิด แต่รู้ว่าเกิน 20 กม.แน่ เบ็ดเสร็จ 2 วันปาเข้าไปเกือบ 40 กม. โอ้ว แม่เจ้าโว้ย หลายๆคนสงสัยว่าเหล่าผู้พิชิตภูกระดึงทำไปเพื่ออะไร
สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าที่ตัวเองทำไปนั้น มันเกิดมาจากจิตใต้สำนึกแห่งความสุขใจเพียวๆ
“โอ๊ย!!! ดวงอาทิตย์อะไรวะ!!! ทำไมมันร้อนอย่างนี้ นี่หนูผิวเสียหมดเลย” รุ่นน้องเธอสบถขึ้นมาเพิ่มเติมจากเสียงบ่นในช่วงแรกๆ ทำให้ภาพกุลสตรีของเธอถูกบดบังไปด้วยภาพของผู้หญิงขนาดมาตรฐานหญิงไทยเดินใช้เสื้อกันหนาวคลุมโปงตัวเองเพื่อกันแดดไปตามเส้นทางสู่ผาหล่มสัก
ด้วยความร้อนแรงของแสงแดดทำให้ เธอเดินตุปัดตุเป๋ไป บ่นอุบอิบไป
แต่สำหรับผมกลับมองเห็นว่า ไม่เพราะแสงตะวันที่แรงกล้านี่หรอกหรือที่ทำให้ท้องฟ้าบนภูกระดึงวันนั้นใสแจ่ม มองเห็นทิวสนโบกสะบัดใบตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าได้อย่างถนัดถนี่ตา
เรียกได้ว่าผมและหล่อน ถึงแม้จะเดินเคียงคู่กัน เดินไปยังจุดหมายเดียวกัน เดินพูดคุยในเรื่องเดียวกัน แต่ความเห็นและความรู้สึกกับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ก็คือสัจจะของมนุษย์ที่แต่ละคนก็ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าต้องเคารพและรับฟังในความคิดของกันและกัน
แต่หากใครที่มีอีโก้ล้นรูทวารคิดว่าข้านี่แหละแน่ เจ๋ง คิดอะไรต้องถูกต้องเสมอ แน่นอนว่าคนๆนั้นกำลังเดินเข้าไปสู่หุบเหวทางความคิด ที่บางทีอาจจะพาไปสู่หุบเหวแห่งชีวิตก็เป็นได้...
4...
17.30 น. ผาหล่มสัก
เหล่าผู้พิชิตภูกระดึงมายืนออกันแน่นที่บริเวณผาหล่มสัก
แต่ละคนล้วนมาจากต่างทิศ ต่างถิ่น แต่ว่าส่วนมากต่างมีจุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือเฝ้ารอทัศนาดวงตะวันลับขอบฟ้ายังผาหล่มสักหนึ่งในจุดชมอาทิตย์อัสดงที่สวยที่สุดในเมืองไทย
ดวงตะวันอ่อนแสงลงมากแล้ว แดดสีทองส่องแสงลูบไล้ไปทั่วผาหล่มสัก
เหล่าผู้พิชิตภูกระดึงนับร้อยคนยืนใจจดจ่ออยู่กับภาพในเบื้องหน้าที่มี แท่นหิน ต้นสนเดียวดาย ท้องฟ้า และผืนป่ากว้างผสมผสานกันเป็นองค์ประกอบแห่งการลาจากไปอีกหนึ่งวันของดวงตะวัน ณ ผาหล่มสัก
ตะวันดวงกลมโตแสงร้อนแรงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีส้มไข่แดง ให้ผมได้ยืนยลและบันทึกภาพอย่างฉับพลัน ฉับไว ได้สักนาทีกว่าๆ จากนั้นก็เคลื่อนดวงไข่แดงหายเข้าไปในกลีบเมฆแบบเร็วเอาเรื่อง
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะผ่านพ้นไป ท้องฟ้าจากสีทองเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และก่อนที่ความมืดมิดจะย่างกรายเข้าปกคลุมผาหล่มสัก ผมก็รับรู้ได้ดีถึงวลียอดนิยมในหนังจีนกำลังภายในที่มักจะกล่าวกันว่า “ฟ้าเปลี่ยน คนเปลี่ยน” หลังจากที่รุ่นน้องผมเอื้อนเอ่ยวาจาใสๆขึ้นมา
“พี่ๆถ่ายรูปดวงอาทิตย์ตกได้เยอะมั๊ย เป็นดวงสีแดงกลมสวยมากเลยนะ นานแล้วที่หนูไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกสวยๆแบบนี้ ยังไงๆหนูขอรูปพี่บ้างนะ หนูถ่ายไม่ทันอะ มันตกเร็วเหลือเกิน”
ผมไม่ตอบคำเธอ แต่ร้องเพลงเก็บตะวันให้เธอฟังแทนพร้อมๆกับจิตใต้สำนึกในใจที่ตกตะกอนออกมาว่า
‘.....E-5 อะไรฟะ ตอนเดินมาด้วยกัน มรึง เอ้ย!!! น้องยังบ่นด่าดวงอาทิตย์อยู่ตลอดทางว่าร้อนอย่างนั้นร้อนอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไหงมาชมว่าดวงอาทิตย์สวยอย่างโน้น สวยอย่างนี้ เฮ้อ คนเราทำไมถึงเปลี่ยนแปลงเร็วจังนะ นี่ถ้ามนุษย์เรามั่นคงดังดวงตะวันขึ้นและลงโลกก็คงจะน่าพิสมัยมากกว่านี้ เพราะฉะนั้น มรึง เอ้ย!!! น้องไม่ต้องเอาหรอกรูปเริบดวงอาทิตย์ตกนะ ฟังเพลงเก็บตะวันไปอย่างเดียวก็พอแล้ว.....’
“...หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า
จะมัวมาสิ้นหวังทำไม
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ดังเช่นตะวัน...”
เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า
เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ
เก็บพลังเก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว...
1...
ย้อนกลับไปในสมัยผมเรียนมัธยมกลาง (ม.3,4) หลังจากอัลบั้ม “ให้มันแล้วไป” ของ “คุณอิทธิ พลางกูร” นักร้องผู้เพิ่งจากไปออกมาสู่แผงเทปได้สักพัก
เพลง “เก็บตะวัน” ที่อยู่ในหน้า B เพลงที่ 2 ก็โด่งดังระเบิดระเบ้อ
สมัยนั้นใครที่เล่นกีตาร์ ไมว่าจะเล่นดีเล่นห่วย หากอยากเท่เล่นกีตาร์โชว์สาว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเล่นลูกเกา(กีตาร์)ในท่อนอินโทรของเพลงเก็บตะวันให้ได้
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ชอบเล่นลูกเกา(กีตาร์)โชว์สาวๆ แถมมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พอหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกา(กีตาร์)เพลงเก็บตะวัน สาวๆร้องกรี๊ด!!! กันพอประมาณ
ที่พวกหล่อนร้องกรี๊ดนั้นไม่ได้ชื่นชมในฝีมือหรอกเพียงแต่ว่า ตอนที่ผมกำลังเกา(กีตาร์)อย่างพลิ้วในอารมณ์นั้น บังเอิญสายกีตาร์มันขาดผึงเฉียดหน้าหล่อนไป เจ้าหล่อนก็เลยร้องกรี๊ด!!! ตอบกับมาเป็นกำลังใจ
ครั้นพอโตขึ้นเดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ผมได้นำเพลงเก็บตะวันพัฒนาต่อเนื่องขึ้นไปเป็นสเต็ปๆ ดังเพลงกระบี่ของเหล่าจอมยุทธ์ในยุทธจักรนิยายของ “โก้วเล้ง”
เพลงกระบี่พัฒนาจาก กระบี่ไร้ผู้ต่อต้าน สู่กระบี่อยู่ที่ใจ และบรรลุขั้นสุดยอดเป็นกระบี่อยู่ทุกหนแห่ง
เช่นกันเพลงเก็บตะวันที่ผมร้องก็พัฒนาจากเพลงเกากีตาร์ร้องโชว์สาว สู่เพลงประจำวงเหล้า ก่อนคลี่คลายสู่เพลงหากินในคาราโอเกะ และวิวัฒนาการถึงขั้นสุดยอดสู่บทเพลงที่ร้องได้ในทุกหนแห่งแม้ว่าจะไม่มีกีตาร์ก็ตามที...
2...
หลายครั้งหลายหนที่เฝ้ารอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ผมมักจะร้องเพลงเก็บตะวันเคล้าคลอไปกับด้วย เพราะว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ดูงดงามที่สุดในหนึ่งวันสำหรับผมมีเพียง 2 ช่วงคือ ยามอาทิตย์ขึ้นกับยามอาทิตย์ตก
แต่ว่าช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ดูงดงามกลับแสนสั้นนัก โดยเฉพาะยามที่ดวงอาทิตย์เป็นดวงกลมเกลี้ยงดูคล้ายไข่แดงนั้นกินเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ก่อนที่ดวงไข่แดงยามเช้าจะกลายเป็นดวงไฟแผดจ้า หรือไม่ก็เลือนหายลับไปกับท้องฟ้าในยามเย็น
ในการเฝ้าชมอาทิตย์ขึ้นหรือตกในแต่ละครั้ง ผมจึงอยากเก็บตะวันไว้ในความทรงจำและในภาพถ่ายให้มากที่สุด เพราะว่าสภาพอากาศและดวงตะวันยามลาลับขอบฟ้าในแต่ละครั้งนั้น เป็นสภาพที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์การควบคุมของมนุษย์
บ่อยครั้งที่ดวงตะวันกลมโตสวยสดงดงาม แต่ก็อีกบ่อยครั้งที่ดวงตะวันไม่แม้แต่จะแย้มดวงมาให้เห็น
อาการสมหวัง ผิดหวังจึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเฝ้าเก็บตะวันไว้ในภาพถ่ายและในดวงใจ
และอาการสมหวัง ผิดหวัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน...
เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย
สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน
หนึ่งตัวตน หนึ่งคน ชีวิตแสนสั้น
เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย
3...
ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้มเมฆหม่น
พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวันสาดแสงแรงกล้า
ส่องให้ฟ้างดงาม
“พี่ๆ เมื่อไหร่จะถึงผาหล่มสักซักที หนูเดินมาหลายกิโล(เมตร)แล้วนะ เหนื่อยๆก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย แถมร้อนชิป...” เสียงรุ่นน้องที่ร่วมเป็นหนึ่งในผู้พิชิตภูกระดึง เธอบ่นเป็นยายเพิ้งแก่ในระหว่างทางเดินเท้าจากที่กางเต๊นท์สู่“ผาหล่มสัก” เพื่อไปรอชมดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ยังภูผาที่มีแท่นหิน และต้นสนเดียวดายขึ้นรับกันอย่างลงตัว
จะว่าไปแล้วผมก็ค่อนข้างเห็นใจเธออยู่ทีเดียว เพราะนี่คือการขึ้นภูกระดึงครั้งแรกของเธอ และหากมาคิดสะสมเมตรจากการเดินเท้าในวันแรก สู่การเดินไปชมพระอาทิตย์ลับฟ้าที่ผาหล่มสักในวันที่ 2 ก็ถือว่าหลักเมตรที่สะสมค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับคนขึ้นภูกระดึงครั้งแรก
วันแรกพวกเราเดินเท้าจากตีนภูขึ้นสู่ยอดภู ผ่านซำแฮก และซำต่างๆไปจนถึงหลังแป จนกลายเป็นหนึ่งในผู้พิชิตภูกระดึงผมสะสมกม.ได้ 5,400 เมตรจากนั้นเดินเท้าทางราบต่อจากหลังแปไปยังที่กางเต็นท์อีก 3,500 เมตร ถึงที่กางเต็นท์พักผ่อนเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกอีก 2,000 เมตร กลับอีก 2,000 เมตร รวมระยะทางวันแรกก็ปาเข้าไปร่วม 13 กิโลเมตรแล้ว
ส่วนวันที่ 2 นี่ยังไม่ได้คิด แต่รู้ว่าเกิน 20 กม.แน่ เบ็ดเสร็จ 2 วันปาเข้าไปเกือบ 40 กม. โอ้ว แม่เจ้าโว้ย หลายๆคนสงสัยว่าเหล่าผู้พิชิตภูกระดึงทำไปเพื่ออะไร
สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าที่ตัวเองทำไปนั้น มันเกิดมาจากจิตใต้สำนึกแห่งความสุขใจเพียวๆ
“โอ๊ย!!! ดวงอาทิตย์อะไรวะ!!! ทำไมมันร้อนอย่างนี้ นี่หนูผิวเสียหมดเลย” รุ่นน้องเธอสบถขึ้นมาเพิ่มเติมจากเสียงบ่นในช่วงแรกๆ ทำให้ภาพกุลสตรีของเธอถูกบดบังไปด้วยภาพของผู้หญิงขนาดมาตรฐานหญิงไทยเดินใช้เสื้อกันหนาวคลุมโปงตัวเองเพื่อกันแดดไปตามเส้นทางสู่ผาหล่มสัก
ด้วยความร้อนแรงของแสงแดดทำให้ เธอเดินตุปัดตุเป๋ไป บ่นอุบอิบไป
แต่สำหรับผมกลับมองเห็นว่า ไม่เพราะแสงตะวันที่แรงกล้านี่หรอกหรือที่ทำให้ท้องฟ้าบนภูกระดึงวันนั้นใสแจ่ม มองเห็นทิวสนโบกสะบัดใบตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าได้อย่างถนัดถนี่ตา
เรียกได้ว่าผมและหล่อน ถึงแม้จะเดินเคียงคู่กัน เดินไปยังจุดหมายเดียวกัน เดินพูดคุยในเรื่องเดียวกัน แต่ความเห็นและความรู้สึกกับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ก็คือสัจจะของมนุษย์ที่แต่ละคนก็ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าต้องเคารพและรับฟังในความคิดของกันและกัน
แต่หากใครที่มีอีโก้ล้นรูทวารคิดว่าข้านี่แหละแน่ เจ๋ง คิดอะไรต้องถูกต้องเสมอ แน่นอนว่าคนๆนั้นกำลังเดินเข้าไปสู่หุบเหวทางความคิด ที่บางทีอาจจะพาไปสู่หุบเหวแห่งชีวิตก็เป็นได้...
4...
17.30 น. ผาหล่มสัก
เหล่าผู้พิชิตภูกระดึงมายืนออกันแน่นที่บริเวณผาหล่มสัก
แต่ละคนล้วนมาจากต่างทิศ ต่างถิ่น แต่ว่าส่วนมากต่างมีจุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือเฝ้ารอทัศนาดวงตะวันลับขอบฟ้ายังผาหล่มสักหนึ่งในจุดชมอาทิตย์อัสดงที่สวยที่สุดในเมืองไทย
ดวงตะวันอ่อนแสงลงมากแล้ว แดดสีทองส่องแสงลูบไล้ไปทั่วผาหล่มสัก
เหล่าผู้พิชิตภูกระดึงนับร้อยคนยืนใจจดจ่ออยู่กับภาพในเบื้องหน้าที่มี แท่นหิน ต้นสนเดียวดาย ท้องฟ้า และผืนป่ากว้างผสมผสานกันเป็นองค์ประกอบแห่งการลาจากไปอีกหนึ่งวันของดวงตะวัน ณ ผาหล่มสัก
ตะวันดวงกลมโตแสงร้อนแรงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีส้มไข่แดง ให้ผมได้ยืนยลและบันทึกภาพอย่างฉับพลัน ฉับไว ได้สักนาทีกว่าๆ จากนั้นก็เคลื่อนดวงไข่แดงหายเข้าไปในกลีบเมฆแบบเร็วเอาเรื่อง
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะผ่านพ้นไป ท้องฟ้าจากสีทองเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และก่อนที่ความมืดมิดจะย่างกรายเข้าปกคลุมผาหล่มสัก ผมก็รับรู้ได้ดีถึงวลียอดนิยมในหนังจีนกำลังภายในที่มักจะกล่าวกันว่า “ฟ้าเปลี่ยน คนเปลี่ยน” หลังจากที่รุ่นน้องผมเอื้อนเอ่ยวาจาใสๆขึ้นมา
“พี่ๆถ่ายรูปดวงอาทิตย์ตกได้เยอะมั๊ย เป็นดวงสีแดงกลมสวยมากเลยนะ นานแล้วที่หนูไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกสวยๆแบบนี้ ยังไงๆหนูขอรูปพี่บ้างนะ หนูถ่ายไม่ทันอะ มันตกเร็วเหลือเกิน”
ผมไม่ตอบคำเธอ แต่ร้องเพลงเก็บตะวันให้เธอฟังแทนพร้อมๆกับจิตใต้สำนึกในใจที่ตกตะกอนออกมาว่า
‘.....E-5 อะไรฟะ ตอนเดินมาด้วยกัน มรึง เอ้ย!!! น้องยังบ่นด่าดวงอาทิตย์อยู่ตลอดทางว่าร้อนอย่างนั้นร้อนอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไหงมาชมว่าดวงอาทิตย์สวยอย่างโน้น สวยอย่างนี้ เฮ้อ คนเราทำไมถึงเปลี่ยนแปลงเร็วจังนะ นี่ถ้ามนุษย์เรามั่นคงดังดวงตะวันขึ้นและลงโลกก็คงจะน่าพิสมัยมากกว่านี้ เพราะฉะนั้น มรึง เอ้ย!!! น้องไม่ต้องเอาหรอกรูปเริบดวงอาทิตย์ตกนะ ฟังเพลงเก็บตะวันไปอย่างเดียวก็พอแล้ว.....’
“...หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า
จะมัวมาสิ้นหวังทำไม
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ดังเช่นตะวัน...”