โดย : ปิ่น บุตรี
หากเอ่ยชื่อ เมืองลับแล แห่ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ กูรูท่องเที่ยวหลายคนคงจะนึกถึง “เมืองแม่ม่าย” เนื่องจากว่าดินแดนแห่งนี้มีตำนานแห่งเมืองแม่ม่ายอันลือลั่น โดยเรื่องราวสั้นๆย่อๆของเมืองแม่ม่ายก็มีใจความดังนี้
...ในอดีตนานมาแล้ว หนุ่มชาวทุ่งยั้ง ได้พลัดหลงเข้าไปยังเมืองลับแล เมืองที่ถือวาจาสัจจะเป็นสำคัญ ใครโกหกจะอยู่ที่เมืองนี้ไม่ได้ (เรื่องนี้สงสัยไม่มีนักการเมืองไทยคนไหนอยู่ที่เมืองนี้ได้แน่นอน)
จากนั้นหนุ่มทุ่งยั้งก็ไปผูกสัมพันธ์รักกับชาวลับแลนางหนึ่ง แล้วก็แต่งงานอยู่กินกันฉันท์ภรรยา-สามี และมีลูกน้อยกำเนิดเป็นพยานรัก 1 คน
พวกเขาอยู่กันด้วยความสุข สามีทำไร่-นา ฝ่ายภรรยาเป็นแม่บ้าน
แต่วันหนึ่งเหตุการณ์อันเป็นที่มาของเมืองแม่ม่ายก็เกิดขึ้นเมื่อ สามีไม่สบาย ข้างฝ่ายภรรยาต้องออกทำงานแทน โดยทิ้งให้สามีดูแลลูกน้อย
แต่ก็อย่างว่า ผู้ชายไม่สันทันการเลี้ยงลูก ลูกน้อยจึงร้องไห้โยเย ผู้เป็นพ่อพยายามหาวิธีปลอบโยนต่างๆนานา แต่ว่าเด็กก็ไม่หยุดร้อง ท้ายที่สุดพ่อจึงได้โกหกลูกน้อยไปว่า “แม่เจ้ากลับมาแล้ว ลูกหยุดร้องเถิด”
บังเอิ๊ญ บังเอิญ ภรรยากลับมาได้ยินพอดี ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่เมืองลับแลนี้ใครโกหกไม่อาจอยู่ได้
หนุ่มทุ่งยั้งจึงต้องจำใจอำลาจากเมืองลับแล โดยมีภรรยามาส่งพร้อมมอบถุงย่ามให้หนึ่งใบ และบอกทางออกจากหมู่บ้าน เมื่อหนุ่มทุ่งยั้งเดินทางมาถึงกลางทางรู้สึกว่าย่ามหนักขึ้นเรื่อยๆ จึงเปิดย่ามดู เห็นมีหัวขมิ้นอยู่เต็มก็จึงโยนทิ้งไป โดยมีเศษติดไว้
ครั้นออกพ้นหมู่บ้านเปิดย่ามดูอีกครั้ง ปรากฏว่าเศษขมิ้นกลายเป็นทองเหลืองอร่าม ไอ้ครั้นจะกลับเข้าไปก็ไม่สามารถหาทางไปถูกแล้ว...
ส่วนสาวลับแลนางนั้นก็กลายเป็นม่าย และเป็นที่มาของเมืองแม่ม่ายนับแต่บัดนั้น ซึ่งเมื่อเอ่ยชื่อเมืองลับแลก็เลยทำให้หลายๆคนที่รู้เรื่องราวพลอยนึกถึงเมืองแม่ม่ายขึ้นมาด้วย
แต่เมื่อพูดถึงเมืองลับแล สำหรับผมกลับนึกถึง ชายคนหนึ่ง ชื่อ พี่ “ต๋อย เปี้ยวงศ์” ซึ่งผมไปนอนค้างอ้างแรมที่บ้านของแกตอนไปเมืองลับแลมาหนล่าสุด
เปล่าเรา 2 คน ไม่ได้เป็นเกย์!?!
แต่ว่าบ้านของพี่ต๋อยในวันที่ผมไปนั้นเพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบ “โฮมสเตย์” (Home Stay) ขึ้นเป็นครั้งแรกใน อ.ลับแล
พูดถึงโฮมสเตย์ต้องถือว่า ณ วันนี้กระแสการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ค่อนข้างมาแรง หน่วยงานรัฐหลายๆหน่วยพยายามผลักดันการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ แต่ว่าในหลายๆหมู่บ้านโฮมสเตย์ที่ผมเคยไปมา พวกชาวบ้านกลับถูกภาครัฐ หรือททท. ยัดเยียดความคิดในการทำมาหากินกับการท่องเที่ยวให้จนวิถีชีวิตที่เรียบง่าย จริงใจ ค่อยกลับกลายเป็นวิถีชีวิตของการทำธุรกิจแบบโฮมสเตย์ไปในที่สุด
แต่กับรายของพี่ต๋อย ผมไม่ค่อยห่วงแกเท่าไหร่ เพราะเท่าที่ไปพักค้างกับแก พี่ต๋อยไม่มีแววทำธุรกิจด้านนี้รุ่งแน่ๆ (55 ผมไม่ได้แช่งพี่ต๋อยนะ แต่พูดความจริง)
เพราะตอนที่ผมและเพื่อนอีก 3 คน ไปค้างบ้านพี่ต๋อย แกก็ได้บอกกับผมว่า
“ข้าไม่รู้เรื่องหรอกโฮมสะตง โฮมสะเต แต่ว่าพอดีทางพี่ที่รู้จักกันเขาบอกมาว่าบ้านของข้าถูกเลือกให้เป็นบ้านโฮมสเตย์ แล้วทางอำเภอบอกมาว่าวันนี้จะมีคนมาพักที่บ้าน ให้ช่วยดูแลด้วย ข้าก็บอกไปว่ามาเถอะ ไม่ต้องไปโฮมสะตง โฮมสะเตหรอก มาพักบ้านหลังนี้ ข้าจะดูแลให้เต็มที่เหมือนมีญาติมาพัก ค่าที่พัก ค่าอาหารไม่ได้สนใจ มีอะไรก็กินกัน ข้าวปลาไม่ต้องเป็นห่วงที่ลับแลมันอุดมสมบูรณ์ ส่วนเหล้านี่มีให้กินเพียบ แต่เป็นเหล้าป่านะ” พี่ต๋อยบอกกับผม หลังจากที่เรารู้จักกันได้ครู่เล็กๆหลังอาหารเย็น
“ที่เขามาเลือกบ้านข้าเป็นโฮมสเตย์ เขาบอกว่าบ้านบ้านข้ามันเก่าดี เอ้อ มันก็แปลกเนอะ บ้านเก่าๆ กลับมีคนสนใจ”
พี่ต๋อยพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมกับมองว่าบ้านของพี่ต๋อยน่าอยู่มากๆ ซึ่งคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าคอนกรีตนานๆเมื่อมาเจอบ้านแบบนี้ถือว่าสุดยอดทีเดียว เพราะบ้านพี่ต๋อยนั้นเป็นบ้านไม้เก่า อายุกว่า 80 ปี ที่กว้างขวางและร่มรื่น ตั้งอยู่กลางสวนเล็กๆของแก ที่มีทั้ง เงาะ มังคุด มะนาว หมาก กล้วย และพืชผลไม้อีก 2-3 ชนิด ส่วนใต้ถุนก็เลี้ยงเป็ด ไก่ พร้อมด้วยหมาแมวที่อยู่กันแบบสันติไว้เฝ้าบ้าน
แต่ที่ผมถือว่าเป็นเสน่ห์ของบ้านพี่ต๋อยก็คือ บ้านหลังนี้มีลำธารเล็กๆใสเย็นไหลผ่านหน้าบ้าน ซึ่งผมก็ใช้ลำธารสายนี้แหละลงไปนั่งแช่นอนแช่อาบน้ำทั้งเช้าและเย็นที่ไปพัก แม้ว่าบ้านพี่ต๋อยจะมีห้องน้ำที่สะอาดไว้ให้เราอาบน้ำก็ตามที
ครั้นพออาบน้ำ และกินข้าวปลาเมื่อเย็นเสร็จ วงสุราในบ้านไม้หลังใหญ่กลางสวนเล็กๆก็ถูกจุดขึ้นเมื่อพี่ต๋อย หายเข้าไปในครัวชั่วครู่ หลังจากนั้นแกก็ออกมาพร้อมกับถั่วแระต้ม 1 จาน และเหล้าป่าครึ่งขวดน้ำดื่มขวดใหญ่ที่สีใสเหมือนตาตั๊กแตน
“ตามสบายกันเลยนะ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง บ้านของชาวสวนจนๆก็อย่างนี้แหละไม่มีอะไรมาก ไหนๆก็มาถึงลับแลแล้วคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันหน่อย”
“เหล้าป่าซื้อมาจากบ้านลุง...นะ เขาต้มเองกินดี เป็นยาสมุนไพรด้วย ตื่นเช้ามาไม่ค่อยแฮงก์ แต่ว่าตอนกินนี้อย่าลืมตัวลุกเดินแบบไม่ระวัง บางทีอาจหัวทิ่มได้ ส่วนถั่วแระเอามาจากไร่เพื่อน สวนข้านะช่วงนี้มันมีแต่ทุเรียน ขืนเอามากินกับเหล้าคงได้ร้อนในตายกันไปข้างหนึ่งหละ”
สำหรับคอสุราอย่างผม เพื่อนๆ และพี่ต๋อย เหล้าป่าขวดนี้ก็เหมือนตัวเชื่อมมิตรภาพชั้นดี ซึ่งไอ้สัน(ดาน) เพื่อนผมมันมักจะท่องกลอนบทหนึ่งในวงเหล้าให้ฟังเสมอว่า “สุราไหลลงคอ ถ่ายทอดอารมณ์ทางสายตา มิตรร่วมวงสุรา ไร้มารยาก็พาสุขใจ” (ไม่รู้ว่ามันคิดเองหรือไปจำจากใครมา)
และในวันนั้นเมื่อแต่ละคนไม่มีมารยา มิตรร่วมวงสุราก็ยิ่งคึกครื้น
พี่ต๋อยเล่าประสบการณ์การทำสวนทุเรียนบนภูเขา การขนย้ายทุเรียนด้วยวิธีเฉพาะตัวของชาวลับแล เริ่มตั้งแต่การนำทุเรียนใส่ตะกร้า แล้วชักรอกข้ามภูเขา จากนั้นก็บรรทุกใส่มอเตอร์ไซค์คันพิเศษที่ดัดแปลงเอาตะกร้ามาผูกไว้ที่ 2 ข้างท้ายซ้ายขวา แล้วลำเลียงทุเรียนใส่ให้เต็มค่อยๆขับลงจากเขา ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าทึ่งมาก และพี่ต๋อยนี่ก็เป็นแชมป์ขนทุเรียนในมอเตอร์ไซค์ลงเขาด้วยน้ำหนักมากที่สุดกว่า 200 กิโลกรัม
นอกจากนี้พี่ต๋อยยังเล่าเรื่องการเข้าตีผึ้งป่าในคืนเดือนมืด(สนิท) ที่ในตอนเย็นเมื่อดูลาดเลาแล้ว กลางคืนก็ย่องมากับเพื่อน 3 คน คนหนึ่งสุมควัน คนหนึ่งปีนไปจุดไฟไล่ผึ้ง ส่วนอีกคนปีนเก็บรังผึ้ง โดยพี่ต๋อยถือเป็นหนึ่งในเซียนตีผึ้งที่มีร่องรอยของผึ้งต่อยอยู่หลายจุด
ว่าแล้วพี่ต๋อยแกก็เดินไปหยิบน้ำผึ้งที่แกตีเก็บไว้ในตู้นับ 10 ขวด เอามาหนึ่งขวดเปิดผสมกินกับเหล้าป่า และเมื่อความหวานผสมกับแอลกอฮอล์ก็ยิ่งทำให้พวกเราเมามากขึ้น
พี่ “ศรี” เมียพี่ต๋อยที่นั่งคอยบริการน้ำท่า กับแกล้ม อยู่ในชาววงสุรา พอหมดขวดแรกก็ขอตัวเข้าไปนอน ซึ่งตอนแรกผมก็เกรงใจนึกว่าพี่ศรีมานั่งเฝ้าเป็นห่วงสามีของแก แต่ที่ไหนได้พี่ศรีแกบอกว่ามานั่งดูแลผมและเพื่อนๆ เพราะเห็นว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับเหล้าป่า ส่วนสามีของแกนั้นปล่อยไปเถอะเมาก็ให้นอนข้างนอกห้องไป และไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นไปสวนไม่ไหว เพราะไม่ว่าเมาขนาดไหนพี่ต๋อยก็ออกไปสวนได้
ด้วยเหตุนี้วงเหล้าป่า ขวดที่ 2 จึงตามมา ก่อนที่จะจบวงด้วยต่างคนต่างกลิ้งกันอยู่แถวนั้น
รุ่งเช้าลูกและพี่ศรีเมียพี่ต๋อยมาปลุกพวกเราให้ลุกมากินอาหารเช้า ส่วนพี่ต๋อยนั้นหายเข้าสวนไปแล้ว
ตอนแรกผมก็นึกว่าพี่ต๋อยคงเข้าสวนเหมือนกับปกติ แต่ว่าสักพักพี่ต๋อยกลับมาพร้อมด้วยกล่องของฝากหนักเอาเรื่อง
จากนั้นเวลาแห่งการล่ำราก็มาถึง
ก็อย่างว่าคนเรานั้นมีพบเพื่อพลัดพราก มีจากเพื่อพบกันใหม่
พี่ต๋อยมาส่งพวกเราขึ้นรถ พร้อมกับบอกว่าถ้าผ่านมาลับแล หรืออุตรดิตถ์อย่าลืมมาแวะพัก บ้านของเขายินดีต้อนรับทุกเวลา แล้วมากินเหล้าพูดคุยกัน ไม่มีโฮมสะตง โฮมสเตย์ ที่ต้องเสียเงินทอง แต่เป็นการมาพักกันแบบพี่ๆน้องๆ
และเมื่อรถมาผมก็อำลาจากพี่ต๋อยออกจากเมืองลับแล โดยระหว่างทางที่รถแล่นออกพ้นเมืองลับแล ผมก็แกะกล่องของฝากดู พร้อมกับลุ้นให้เป็นทองอย่างในตำนานเมืองลับแล และเมื่อเปิดดูก็เป็นทองจริงๆด้วย
“ทุเรียนหมอนทองนะครับ”


