xs
xsm
sm
md
lg

“ซาลามะ” : The Old Man and The Sea (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี

“บางทีสิ่งที่หวัง อาจไม่เป็นดังหวัง แต่บางครั้งสิ่งที่ไม่คาดหวัง อาจเดินทางมาหาเราเกินกว่าหวังก็ได้”

สำนวนนี้ผมคิดขึ้นมาสดๆดิบๆ หลังจากที่พลาดหวังไม่ได้เจอกับไอ้สัน(ดาน) ที่ เกาะสุรินทร์ แต่ว่าสิ่งที่มาเกินความคาดหวังก็คือ ผมได้เจอกับลุง “ซาลามะ” ผู้อาวุโสชาวมอแกน ซึ่งหลังจากที่เราคุ้นเคยกันได้สักพัก ลุงแกก็ชวนผมออกไปแทงปลาในน้ำตื้น ได้ปลาตัวเบ้อเริ่มเทิ่มนำกลับโรงเรียนสุรัสวดีไปเป็นอาหารและกับแกล้มในมื้อค่ำ...

“ลุงฝีมือยังเยี่ยมเหมือนเดิมนะ” ครูน้อยเอ่ยชม หลังจากที่ลุงซาลามะยื่นเจ้าปลาตัวโตให้

“เอ้อ ว่าแต่มันคือปลาอะไรมันคือปลาอะไรหรือลุง” หลังจากที่เก็บความสงสัยไว้ตั้งแต่เห็นเจ้าปลาตัวโตดิ้นพลาดๆอยู่บนปลายฉมวก พอสบจังหวะเหมาะผมก็ยิงคำถามใส่ลุงซาลามะทันที

“มอแกนเรียกกันว่า “เอกาน หม่ามุ่ง” ส่วนคนแถวนี้เห็นเขาเรียกกันว่า “ปลามง” (ปลากะมง) นะ” ลุงซาลามะอธิบายพร้อมกับหันไปถามครูน้อยว่าจะทำยังไงกับเจ้าปลาตัวนี้ดี

“ผมว่าหัวปลาเอาต้มยำซดน้ำร้อนๆ ส่วนเนื้อย่างไฟกินกับน้ำจิ้มแซ่บๆก็พอแล้ว เพราะพวกเราเน้นกับแกล้มมากกว่ากับข้าวอยู่แล้ว ยิ่งพวกประมงเขาเพิ่งกลับจากฝั่งและมีแขกอย่างคุณมา คืนนี้เหล้าเพียบแน่” ครูน้อยบอกกับผม

“นี่ครู บอกหัวหน้าคืนนี้ขอเหล้าขาวให้ลุงขวดนึงนะ ลุงจะกินกับหลานเขา แต่ตอนนี้ลุงจะพาไอ้หลานไปเที่ยวบ้านลุงก่อน”

...ฮั่น แน่ ลุงนี่ร้ายไม่เบา เล่นใช้มุข 1 ขวด หาร 2 ซะด้วย......ผมนึกในใจก่อนที่จะเดินตามลุงซาลามะสู่หมู่บ้านมอแกนที่เห็นอยู่ลิบๆ

“เดี๋ยวนี้อะไรๆมันก็ไม่เหมือนก่อนแล้ว พวก ปู ปลา กุ้ง หมึก มันเหลือน้อยเต็มที แถมยังจับกินยากอีก เพราะทางอุทยานฯเขาห้าม จะจับกินได้ก็แค่บางพื้นที่ ทำให้เดี๋ยวนี้พวกมอแกนรุ่นใหม่มันไม่ออกทะเลกันแล้ว มันเปลี่ยนไปรับจ้างขับเรือให้นักท่องเที่ยวเงินดีกว่า” ลุงซาลามะพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ ระหว่างทางเดินสู่หมู่บ้านมอแกน

“พวกทางการเขามักจะบอกว่า ที่สัตว์น้ำเหลือมันน้อยลง เพราะพวกเรา(มอแกน)จับไปกินกันหมด เฮ้อ...ลุงก็ยังงงๆ เพราะตอนที่ลุงยังเล็กๆ พวกเราก็จับปู ปลา กินกันมาตลอด มันก็ยังเยอะอยู่เหมือนเดิม เพราะพวกมอแกนจะจับกินปู ปลา กิน เฉพาะตอนที่หิว ส่วนมากใช้วิธีดำน้ำลงไปจับ หรือไม่ก็แทงปลาอย่างที่หลานเห็น ส่วนพวกผู้หญิงเขาจะเดินเก็บหอยกันตามชายหาดตอนเช้าๆ แต่พักหลังตั้งแต่เรือใหญ่มันมาหาปลาแถวนี้ และที่เกาะมีคนมาเที่ยวกันเยอะมีเรือวิ่งกันบ่อยๆ ลุงสังเกตว่า ปู ปลา มันหายไปหมด เหลือแต่พวกตัวเล็กๆ ลุงจำได้สมัยนั้นกุ้งมังกรตัวเกือบเท่าแขน และลุงเคยเจอเต่าตัวใหญ่กว่าคุณอีก ลุงยังขึ้นไปขี่เต่าตัวนั้นเล่นเลย” ลุงซาลามะร่ายยาว

“ แล้วลุงจับเต่าตัวนั้นกินหรือเปล่า” ผมถามด้วยความฉงน

“บ้าหรือไอ้หลาน พวกเรานับถือเต่าตัวนั้นกัน ตอนนี้เต่าตัวนั้นก็ยังอยู่ พวกมอแกนนี่เขานับถือทั้งผีป่า ผีน้ำ ผีภูเขา ผีปู่ย่าตายาย(ผีบรรพบุรุษ : ผู้เขียน) และพวกเราก็จะมีการทำพิธีบูชาผีกันเป็นประจำ น้องสาวของลุงมันก็เป็นคนเข้าทรงผีด้วย”

เราเดินคุยกันได้ไม่เท่าไหร่ก็เข้าเขตหมู่บ้านมอแกน ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในสไตล์มอแกนประมาณ 20 หลัง มุงด้วยใบค้อ ซึ่งบรรยากาศของหมู่บ้านก็อบอวลไปด้วยอารมณ์แบบมอแกนยุคโลกาภิวัตน์

มีเด็กๆทั้งหญิงชาย บ้างใส่เสื้อ ถอดเสื้อ บ้างไม่ใส่อะไรเลย วิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวตามใต้ถุนบ้าน

ด้านพวกแม่บ้านก็นั่งรวมกลุ่มทำงานและตั้งวงเมาท์ในภาษามอนแกนกันอย่างครื้นเครง

ส่วนพวกผู้ชายหาไม่ค่อยเห็น ที่เจอบ้างก็มีนอนอยู่ในบ้าน บางคนทำการแต่งเรือซ่อมเรือ

และเท่าที่ผมรับรู้ได้ก็คือลุงสาลามะนี่เป็นคนดังมากๆของหมู่บ้านเพราะเมื่อแกเดินไปไหนมาไหน มีคนทักกันตรึม

“ถ้าหลานมาแถวนี้สมัยก่อนนะเป็นได้เห็นพวกผู้หญิงเดินถอดเสื้อ เห็นนมกันโทงๆ เพราะสมัยก่อนผู้หญิงมอแกนเขานุ่งแค่ผ้าถุง แต่ตอนหลังพวกเขาคงแต่งตามฝรั่งกันมั๊งจึงซื้อยกทรงมาใส่ แต่ว่าลุงก็เห็นพวกฝรั่งมันแก้ผ้าเล่นน้ำกันเยอะไป เอ้าถึงบ้านลุงพอดี ขึ้นมาๆ นี่เมียลุงเขากำลังหุงข้าวอยู่พอดี”

ผมยกมือไหว้คุณป้าที่ยิ้มฟันขาวรับไหว้ก่อนที่จะหันไปง่วนกับการหุงข้าวต่อ ส่วนผมกับลุงซาลามะก็นั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ โดยส่วนใหญ่ผมจะยุให้ลุงแกเล่าเรื่องของมอแกนสมัยก่อนให้ฟัง

“สมัยที่ลุงเป็นเด็กๆนะ พอหมดมรสุมพ่อของลุง(พ่อลุงซาลามะชื่อ “มาด๊ะ” เป็นอดีตหัวหน้าเผ่า : ผู้เขียน) จะพาลุงออกเรือไปหาปลา จากเกาะสุรินทร์ เรื่อยไปถึงระนอง พม่า พ่อพาลุงไปหาญาติที่พม่าเป็นประจำ มาสมัยนี้ไปไม่ได้แล้ว ใครขืนล้ำเขตไปไม่โดนจับก็โดนยิงตาย” ลุงซาลามะรำลึกความหลัง(มอแกนในยุคนั้นจะใช้เรือ “ก่าบาง” ที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและพาหนะออกทะเลหาปลา ปัจจุบันหาแทบไม่ได้แล้ว โดยในปี 2546 เหลืออยู่เพียงลำเดียว : ผู้เขียน)

“ลุงแกไม่ได้ไปแค่พม่านะ แกไปถึงอินเดียโน่น” ป้าเล่าเสริมด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัดเจนต้องตั้งใจฟังดีๆ

“หา จริงหรือลุง???” ผมถามด้วยความฉงน

“จริงสิ ลุงไปอยู่อินเดียมา 2 ปี พอพูดภาษาอินเดียได้บ้าง”ลุงซาลามะตอบ

“แล้วลุงไปทำอะไรล่ะ” ผมซักต่อ

“ลุงไปติดคุกน่ะ ตอนนั้นออกไปหาปลาไกลไปหน่อย” ลุงซาลามะตอบผมหน้าตาย เล่นเอาผมหัวร่อมิได้ร่ำไห้มิออกจึงเปลี่ยนเรื่องถามป้าไปว่า

“ที่ผมเดินมานี่เห็นใครๆเขาก็ทักลุงซาลามะทั้งนั้น ทำไมลุงเขาถึงดังนักล่ะป้า”

“ก็ลุงแกเป็นคนดังของที่นี่ ทีวี หนังสือ แกออกอยู่บ่อยๆ เวลาใครจะมาทำเรื่องมอแกน หรือเพื่อนๆของเจ้าหน้าที่อุทยานฯมาเขาก็จะให้ลุงแกนำเที่ยว เพราะทะเลแถบนี้ลุงเขารู้จักดีว่าตรงไหน มีปลา มีกุ้ง มีหมึก มีปะการังเยอะเยอะ และที่มีคนรู้ไม่กี่คนก็คือลุงแกรู้จักที่อยู่ของเต่าตัวใหญ่ที่ลุงแกมักเล่าว่าเคยขี่อยู่บ่อยตอนนออกไปดำกุ้ง ส่วนเวลาทางการเขามีเรื่องจะขอความร่วมมือพวกมอแกนเขาก็จะมาหาลุงซาลามะอีกเหมือนกัน นี่พรุ่งนี้ลุงแกก็ต้องพาพวกฝรั่งออกเรือไปถ่ายสารคดีอีก” ป้าบรรยายสรรพคุณของคู่ชีวิต

“ใช่เวลามีอะไรก็มาหาเรา แต่เวลาลุงขอบัตรประชาชนไปตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นมีใครสนใจเลย ทั้งๆที่ลุงก็เป็นคนไทย เกิดเมืองไทย และโตในเมืองไทยมาเป็นสิบๆปีแล้ว”ลุงซาลามะตัดพ้อ

ส่วนผมฟังแล้วอึ้งกิมกี่ เพราะเท่าที่รับรู้มาก็คือว่าทางราชการจะไม่ออกบัตรประชาชนให้ชาวมอแกน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวต่างๆเพิ่มเติมจากลุงซาลามะ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเจ้าหน้าที่หลายๆคนดูถูก ถูกเอาเปรียบ และถูกข่มเหง ผมก็รู้สึกว่าพวกมอแกนที่เป็นคนดั้งเดิมของที่นี่ เป็นคนในพื้นที่ ที่อยู่บนเกาะสุรินทร์มาเป็นร้อยปี นับวันยิ่งถูกกีดกันให้เป็น “คนนอก” มากขึ้นเรื่อยๆ

ครืน!!! ครืน!!!

เสียงฟ้าคำรามทำลายความเงียบหลังที่ผมอึ้งไปพักใหญ่ ทำเอาผมต้องชะโงกหน้าออกไปดูท้องฟ้าที่เห็นเมฆเทาครึ้มมาแต่ไกลในท้องทะเล

“สงสัยผมต้องกลับก่อนแล้วลุง-ป้า กลัวกลับไม่ทัน เดี๋ยวกล้องจะเปียกเอา เพราะฝนครึ้มมาแล้ว” ผมเอ่ยอำลาลุงในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น

“ฝนนะยังไม่ตกหรอก ฟ้าอย่างนี้ ฝนจะตกก็ประมาณทุ่ม 2 ทุ่มนั่นแหละ แต่ว่าหลานกลับโรงเรียนไปอาบน้ำ อาบท่า ก่อนก็ดี เพราะมานี่ยังไม่ได้พักผ่อนเลย แล้วหลังฝนตกลุงจะตามไป ฟ้าอย่างนี้ฝนตกพักเดียวแหละ เอ้อ!!! กินข้าวกันให้เรียบร้อยนะ ปลาตัวนั้นลุงไม่กินหรอกเบื่อแล้ว”ลุงซาลามะบอกส่งผมลงจากบ้าน...

ขากลับผมให้คาใจยิ่งนัก เพราะสงสัยเหลือเกินว่าลุงซาลามะแกเป็นขงเบ้งหรือไง ที่หยั่งรู้ฟ้าดินว่าฝนจะตกช่วงไหน แถมยังตกไม่นานเสียด้วย

แต่ว่าพอมาถึงที่โรงเรียน เมื่อมาเจอกับวงสุราที่มีครูน้อย พี่ๆประมง และกับแกล้มอย่าง หัวปลามงต้มยำ เนื้อปลามงย่าง กับน้ำจิ้มรสแซ่บ ร่วมด้วยปลาหมึก กับปูตัวโตๆ ที่พวกมอแกนจับมาให้เพิ่มเติม ผมก็เพลิดเพลินกับสุรา อาหารจนลืมเรื่องฝนไปเสียสนิท

แล้วความจำเรื่องฝนก็หวนย้อนกับมาเมื่อฝนเทลงมาแบบหนาเม็ดเอาการ

ผมดูนาฬิกา เข็มเวลาเดินอยู่ที่ทุ่ม 20 นาที

...เอ้อ ลุงแกทายแม่นแฮะ... ผมนึกในใจ

วงสุราของเรายังคงดำเนินต่อไป ส่วนฝนนั้นตกได้สักพักก็หยุด แล้วครู่เล็กๆก็มีแสงไฟฉายแว็บๆ เคลื่อนที่มาใกล้โรงเรียน พร้อมด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวก ซึ่งผมจำได้ดีว่านี่คือเสียงของลุงซาลามะ

“ไงไอ้หลานลุงบอกแล้วใช้มั๊ยว่าฝนจะตกประมาณช่วงนี้” ลุงแกโวมาแต่ไกลด้วยอาการกรึ่มเหล้าพอประมาณ

ผมไม่รีรอยกเทเหล้าขาวใส่แก้วยื่นให้ลุงซาลามะ พร้อมกับยิงคำถามตามไปว่า

“แล้วลุงรู้ได้ยังไงว่าฝนจะตกช่วงไหน”

“ลุงก็สังเกตจากฟ้านั่นแหละ ฟ้าแบบนี้ลุงเจอมาตั้งแต่เด็กและก็สังเกตว่าฝนมันน่าจะตกอีกกี่ชั่วโมงต่อมา และน่าจะตกไม่นานเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่แน่นอนหรอก เพราะเราเอาแน่นอนกับธรรมชาติไม่ได้” ลุงซาลามะตอบแบบถ่อมตัวเล็กน้อย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแกถล่มตัว

“โอ้ว...ลุงนี่เลี่ยมจริงๆเล้ย” ผมพูดแซวแกก่อนที่จะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มคาราวะ 2 อึก

“นี่ถ้าลุงแกไม่เก่ง พวกมอแกนเขาไม่ยกให้เป็นผู้นำเผ่าหรอก”ครูน้อยกล่าวเสริมพร้อมเล่าต่อว่า ความจริงแล้วลุงซาลามะน่าจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าเหมือนพ่อของแกไปแล้ว แต่ถึงยังไงแกก็เป็นได้แค่ผู้นำเผ่า เพราะคนที่จะเป็นหัวหน้าเผ่ามอแกนต้องเข้าทรงผีได้

“ที่ผีไม่ยอมเข้าลุงซาลามะนะ ก็เพราะว่าแกกินเหล้า ผีเลยไปเข้าทรงป้ามิเซี่ยน้องสาวแกแทน ผมว่าผีเขาคงเหม็นเหล้าในตัวลุงมั๊ง”ครูน้อยพูดยิ้มๆ

ส่วนผมหัวเราะลั่น

“ไอ้หลาน เอ็งหัวเราะอะไรหือ เวลาที่ใครฟังเรื่องนี้เขามักจะเห็นใจลุง แต่เอ็งกลับหัวเราะ แปลกคนดีเว้ย” ลุงซาลามะถามด้วยความสงสัย

“อ้าว ถ้าลุงเป็นหัวหน้าเผ่าก็กินเหล้าไม่ได้ แล้วใครจะมานั่งกินเหล้า เล่าเรื่องของมอแกนให้ผมฟังหละ...555 ”

พวกเราทั้ง 3 คน ต่างหัวเราะขึ้นมาไล่เลี่ยกัน ซึ่งในเสียงหัวเราะนั้นผมยังมีเรื่องหนึ่งที่เก็บไว้ในใจและไม่ได้บอกลุงซาลามะออกไปก็คือ

...ถึงแม้ว่าลุงซาลามะจะไม่ได้เป็นหัวหน้าเผ่ามอแกน แต่ว่าลุงแกก็เป็น The Old Man and The Sea ในหัวใจของผม...

กำลังโหลดความคิดเห็น