นับแต่บรรพกาลผ่านพ้นมาถึงยุคปัจจุบัน “ผู้หญิง” ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความงามที่มวลมนุษยชาติส่วนใหญ่ให้การยอมรับ (จะมีส่วนน้อยนิดที่ไม่ยอมรับในความงามของผู้หญิงก็พวก แต๋ว เกย์ ตุ๊ด) โดยแต่ละถิ่นแต่ละที่ต่างก็มีมุมมองในความงามของอิสตรีเพศต่างกันออกไป
“ผู้จัดการท่องเที่ยว” เท่าที่ถามความเห็นมาของชายไทยสมัยนี้ ส่วนมากจะมองหญิงงามที่ หน้าตา เรือนร่าง รวมไปถึงความอวบอึ๋ม แต่กับช่างชาวขอมในช่วงต้นๆของอาณาจักรพระนครนั้น นอกจากเรือนร่าง และปทุมถันอันอวบอึ๋มของผู้หญิงที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นนางอัปสราตามปราสาทต่างๆแล้ว “บั้นท้าย” ของสตรีก็เป็นหนึ่งในตัวแทนความงามที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นปราสาท “บันทายศรี” หรือที่ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น “อัญมณีแห่งศิลปะเขมร”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ว่า “สูน เพียบ” (Soun Pheab : เพียบ แปลว่า “ภาพ” ในภาษาไทย) ไกด์ชาวเขมรที่พาเราชมความงามของปราสาทบันทายศรีเล่าให้ฟังว่า ปราสาทบันทายศรี ถ้าแปลความกันตรงๆก็หมายถึง “บั้นท้ายสตรี” ซึ่งคนในยุคนั้นต่างถือว่าบั้นท้ายของสตรีนับเป็นความงามที่น่ายกย่อง เรื่องนี้จริง-เท็จ อย่างไรคงต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่ตามเอกสารที่ระบุไว้ส่วนมากของไทยจะยกให้ ปราสาทบันทายศรีเป็น “วิหารแห่งสตรี” ที่งดงาม
แต่ที่เห็นกันจะๆก็คือความงามของลวดลายที่แกะสลักแห่งปราสาทบันทายศรีนี่ถือว่างดงาม อ่อนช้อย สุดยอดจริงๆ
แต่ว่ากว่าที่บันทายศรีจะมาเผยโฉมให้เหล่านักนิยมปราสาทขอมชมในความงามก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “ผู้จัดการท่องเที่ยว” อยากเล่าให้คุณผู้อ่านรับรู้ถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่ง แล้วใช้วิจารณญาณเอาเองว่า เขาเหมาะสมที่จะเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
คล็อด เวเนค (Claude Veanek) เป็นตัวเอกในนิยายเรื่อง La Voie Royale ที่เป็นเรื่องเล่าประสบการณ์การสำรวจโบราณสถานในเขมร ซึ่ง อังเดร มาโรซ์ สมมติขึ้นแทนตัวเอง และเป็นชายที่อยากจะเล่าถึง หมอนี่ในเรื่อง เมื่อปี ค.ศ. 1923 เขาคือนักศึกษาจบใหม่แห่งสถาบันศึกษาแห่งปารีส
ครั้นเมื่อจบใหม่ไฟแรง คล็อด และเพื่อนก็ได้ออกเดินทางสำรวจซากปรักหักพังของอาราจักรพระนครในเมืองเสียมเรียบ และเขาก็ได้พบกับปราสาทขนาดเล็ก ที่มีชื่อเรียกว่า “บันทายศรี” ซึ่งเป็นปราสาทหินทรายสีชมพูขนาดเล็ก แต่ว่าลวดลายแกะสลักภาพนูนต่ำตามเสา ซุ้มประตู หน้าบัน ล้วนแต่วิจิตรงดงาม โดยเฉพาะภาพสลักหินเทวดาถือดอกไม้กำลังจะเบ่งบานถือว่าอ่อนช้อยงดงามได้อารมณ์เกินคำบรรยาย ที่ภายหลังได้รับการขนานนามว่า “โมนาลิซ่าแห่งเอเชีย”
เรื่องราวนิยายการพบปราสาทบันทายศรีของคล็อดนั้น หากอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าชมเชยหมอนี่ แต่ว่าเรื่องนี้ยังมีต่อ และเป็นเรื่องจริงเสียด้วย คล็อด หรืออังเดร มาโรซ์ หลังจากพบปราสาทบันทายศรีได้ไม่นาน หมอนี่ก็โดนจับเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในยุคนั้นในข้อหาขโมยภาพเทวดาถือดอกไม้ และรูปสลักนางอัปสรา 4 นางที่สวยงามมากอีกเช่นกัน โดยของที่ยึดไว้ทั้งหมดปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพนมเปญ
นั่นก็คือเรื่องราวการค้นพบปราสาทบันทายศรี ส่วนความเป็นมาของปราสาทบันทายศรีนั้น สูน เพียบ (“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ชอบชื่อเขาจริงๆ เพราะสมัยเรียนเคยได้ “ศูนย์ (0) เพียบเลย) ได้เล่าให้ฟังว่า ปราสาทบันทายศรี หรือ บันเตยสะไร ในภาษาเขมรที่คนขอมโบราณในยุคนั้นสร้างขึ้นในพ.ศ. 1510 สมัยราเชนทรวรมันที่ 2 (ครองราชย์ระหว่างพ.ศ.1487-1511)โดยพราหมณ์ “ยัชญวราหะ” เป็นศาสนสถานแบบพราหมณ์ที่บูชาพระศิวะ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 2000
สำหรับการเดินชมปราสาทบันทายศรี ถ้ามีไกด์นำทางก็เดินตามไกด์เป็นดีที่สุด เพราะว่าไกด์จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องราวของภาพแกะสลักตามหน้าบันต่างๆ
แต่ถ้าไปเที่ยวชมเองควรศึกษาเรื่องราวของ รามายาณะหรือรามเกียรติ์ ภควัทคีตา มหาภารตยุทธ ตำนานนารายณ์อวตาร รวมถึงเรื่องราวของการกวนเกษียรสมุทร เป็นพื้นเสียก่อนแล้วจะเที่ยวชมได้อรรถรส ซึ่งไม่เพียงแค่ที่ปราสาทบันทายศรี แต่กับปราสาทส่วนมากในเมืองเสียมเรียบ ถ้ามีพื้นในเรื่องนี้ก็จะเที่ยวชมได้เข้าใจและสนุก โดยเฉพาะที่นครวัด นครธม เรื่องการกวนเกษียณสมุทรจะเด่นมาก
แต่เท่าที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เห็น นักท่องเที่ยวไทยส่วนมากที่ไปเที่ยวชมปราสาทในเมืองเสียมเรียบส่วนมากจะไปเป็นกรุ๊ปทัวร์ที่มีไกด์นำทาง แน่นอนว่าข้อมูลเรื่องราวที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของไกด์ที่นำทาง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวปราสาทขอมแล้วเน้นแค่ถ่ายรูปคู่กับปราสาท หรือนางอัปสรา ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะหากฟังข้อมูลจากไกด์ หรือสังเกตในรายละเอียดก็จะเห็นว่าลวดลายแต่ละจุดมีเสน่ห์แห่งความงามที่แตกต่างกันออกไป
อย่างกับลวดลายแกะสลักที่ปราสาทบันทายศรีแต่ละจุดถือว่างดงามจริงๆ ยิ่งได้ฟังการถ่ายทอดรายละเอียดของลวดลายต่างๆ จากสูน เพียบ แล้วยิ่งได้อรรถรสมากขึ้น เอาแค่อุ่นเครื่องกับหน้าบันแรกรูปสลัก “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” นี่ก็ดูพลิ้วไหวได้อารมณ์แล้ว
ครั้นผ่านซุ้มประตูแรก ก็จะเจอเสานางเรียงเป็นแนวนำทางเข้าสู่ตัวปราสาทที่มีขนาดกะทัดรัด เรียงตัวกัน 3 หลัง มีสระขนาดเล็กล้อมรอบ ซึ่งในบริเวณปราสาทหลายๆส่วนมีลวดลายงามๆแกะสลักไว้เพียบ ที่น่าสนใจก็มีรูปนรสิงห์ (อวตารของพระวิษณุ) หน้าตาถมึงทึงกำลังกำลังฉีกอกยักษ์ที่ฆ่าไม่ตายอย่าง “ท้าวหิรัณยะกะปุสิ” แล้วมีลวดลายและทวยเทพ นางฟ้าร่ายรำอยู่รอบๆ
รูปช้างอาบน้ำชำระร่างกายให้นางลักษมีก่อนไปแต่งงานกับพระนารายณ์นี่ก็น่าชม ส่วนรูปที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ชอบในความงามและรายละเอียดมากก็คือรูป “ทศกัณฑ์เขย่าเขาไกรลาศ” ซึ่งเป็นการแสดงอิทฤทธิ์ของทศกัณฑ์ โดยเหล่าพวกสัตว์ที่อยู่ข้างๆต่างหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่ว่างานนี้พระศิวะหาได้สะสกสะท้านไม่กลับนั่งด้วยความนิ่งเฉย (บางคนว่าเป็นการนั่งสมาธิ) ส่วนที่ตกใจๆสุดๆก็เห็นจะเป็นนางอุมาที่กระโดดขึ้นไปนั่งตักของพระศิวะ ดูแล้วได้อารมณ์มาก
นอกเหนือไปจากนี้ตามหน้าบันต่างๆก็มีรูปสลักและเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงรูปสลักนางอัปสราที่ได้สัดส่วนและงดงามอ่อนช้อย เห็นหน้าตา ทรงผม ผ้านุ่ง รวมถึงเต้าถันที่กลมกลึงสมส่วน จนหลายๆคนยกให้นางอัปสราที่ปราสาทบันทายศรีเป็นนางอัปสราที่งดงามที่สุดในเขมร เรียกว่าต้องไปดูด้วยสายตาตัวเองถึงจะรับรู้ในอรรถรสแห่งความงาม ซึ่งกับปราสาทบันทายศรีนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการสะท้อนให้โลกเห็นว่า “Small is Beautiful” หรือ เล็กกะทัดรัดแต่งามชะงัดจับจิตจับใจนั้นเป็นอย่างไร
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปราสาทบันทายศรี อยู่ในเมืองเสียมเรียบ ห่างจากนครวัด นครธม ไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร สำหรับการเที่ยวชมปราสาทขอมในเขมรนั้นจะเสียค่าเที่ยวชม 20 เหรียญสหรัฐ(ประมาณ 1 พันบาท) ต่อวัน ส่วนถ้าอยากเที่ยวนานซื้อตั๋ว 3 วัน เสีย 40 เหรียญ ส่วนค่าวีซ่าเข้าเขมรก็อยู่ที่ 20 เหรียญเช่นกัน
โดยปราสาทบันทายศรีถือเป็นหนึ่งในปราสาทในอาณาจักรพระนคร (ระหว่าง พ.ศ. 1333-1974) ซึ่งมีนครวัด และนครธม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของโลก ซึ่ง “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จะมานำเสนอในตอนต่อๆไป แต่ถ้าคนที่อยากไปเที่ยวชมปราสาทขอมในเมืองเสียบเรียบ ประเทศกัมพูชาก็สามารถติดต่อไปเที่ยวได้กับบริษัททัวร์ทั่วไป หรือหากจะไปเองก็ควรจะศึกษา เรื่องราว และข้อมูลการเดินทางให้ดี ซึ่งก็มีทั้งการเดินทางโดยรถและโดยเครื่องบิน ส่วนเงินที่ใช้สามารถใช้เงินบาทได้
สำหรับจังหวัดเสียมเรียบ หรือ เสียมราฐ นั้นถือเป็นจังหวัดเดียวกัน โดยราชการไทยจำนวนหนึ่งนิยมให้เรียกเสียมราฐ ซึ่งความนี้มีที่มาที่ไป แต่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จะไม่ขอกล่าวถึง เนื่องจากเรืองมันเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านมา ส่วนชื่อเสียมเรียบนั้นเป็นชื่อสากลที่คนใช้เรียกกัน
ทั้งนี้ผู้ที่ไปเที่ยวชมปราสาทขอมต่างๆในเมืองเสียมเรียบ หากต้องการได้อรรถรสมากขึ้นควรหาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ที่น่าสนใจก็มี นิราศนครวัด:สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำนานแห่งนครวัด:จิตร ภูมิศักดิ์, เมืองพระนคร-นครวัดนครธม : ยอร์ช เซเดส์ แปลโดย ปราณี วงษ์เทศ, นครวัดนครธม ชายชรากับบ่วงกรรมและคำสาป : ธีรภาพ โลหิตกุล, เที่ยวเขมร : วีระ ธีรภัทร
และการจะเที่ยวชมปราสาทขอมให้สนุก ไม่ควรที่จะนำเรื่องราวในอดีตมาผสมรวมกับเรื่องราวในปัจจุบัน