โดย : ปิ่น บุตรี

บนถนนการเดินทาง นอกเหนือจากจุดหมายปลายทางและประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว ผมมักจะได้พบกับ “เพื่อน” ใหม่ๆเสมอ ซึ่งเหตุที่ทำให้เจอะเจอเพื่อนใหม่ในแต่ละครั้ง มันก็ล้วนต่างกรรมต่างวาระกันออกไป
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งการพบเพื่อนใหม่ของผมค่อนข้างแหวกแนวออกไป คือผมพบเพื่อนใหม่เพราะว่าไม่เจอเพื่อนเก่า
เรื่องราวก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ว่างานนี้ถ้าไม่พูดถึง “ไอ้สัน” มันก็จะดูกระไรอยู่
“ไอ้สัน” เพื่อนของผมคนนี้ ชื่อจริงของมันคือ “คมสัน” แต่ผมและเพื่อนมักจะเรียกมันว่า “ไอ้สัน”(ดาน)
สมัยที่ไอ้สันเรียนจบมหา’ลัยใหม่ๆ ก็เป็นสไตล์ของเด็กแนวรุ่นผมคือ ขอเที่ยวก่อนแล้วค่อยหางานทำ
พอไอ้สันเี่ที่ยวกลับมา มันก็มาเล่าให้ผมฟังฟังด้วยอารมณ์ติสต์แDก ว่า
“กรูว่ากรูค้นพบตัวเองแล้วว่ะ พอดีที่กรูไปเกาะสุรินทร์ แล้วไปขอพักกับเพื่อนที่โรงเรียนบนเกาะ เห็นบรรยากาศแล้วอยากจะไปเป็นครูสอนเด็กๆมอแกนที่นั่น เด็กพวกนั้นน่ารักและใสซื่อดี ส่วนทะเลที่นั่นแม๋งสวยshipหาย น้ำงี้ใสแจ๋ว ปะการังเพียบ ของกินนี่ก็ซีฟู้ดดีๆทั้งนั้น พวกมอแกนเขาจับมาให้ นี่กรูบอกทางโรงเรียนเขาไว้แล้ว อีก 2 เดือนจะลงไป ยังไงว่างๆไปเที่ยวหากรูได้ หาไม่ยากบนเกาะมีโรงเรียนเดียว”
หลังจากนั้นไอ้สันก็หายหน้าหายตาไปจากวงสุราเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง...
ช่วงปลายปีถัดมา คลื่นลมอันดามันสงบ ผมหาวันว่างเดินทางไปหาไอ้สันที่ “โรงเรียนสุรัสวดี”บนอ่าวไทรเอน แห่งเกาะสุรินทร์ โดยขอติดเรือไปกับเจ้าเจ้าหน้าที่ประมงผู้ใจดี
แต่เมื่อไปถึงยังโรงเรียน ได้ยินครูน้อยเล่าให้ฟังก็แทบช็อค!!!
“อ๋อ แจ็คสันนะหรือ เขาว่าจะมาเป็นครูที่นี่ แต่พอดีเขามาช่วงมรสุม ทะเลมันมีแต่คลื่น น้ำทะเลก็ขุ่น ส่วนบนเกาะก็มีแต่ฝน อาหารการกินก็มีพวกมาม่า ปลากระป๋อง พวกมอแกนเขาก็ไม่เสี่ยงออกหาปลากันหรอก มันไม่เหมือนกับตอนที่แจ๊คสันมาเที่ยวครั้งแรกตอนนั้นมันช่วงหมดมรสุม ทะเลมันก็ดูดีเป็นธรรมดา”
“แจ๊คสันตอนมาอยู่ที่นี่วันแรกเขาก็สนุกดี แต่พอวันที่สองผมเห็นเขาเริ่มบ่น เพราะมันมีแต่คลื่นลมกับฝน ทำอะไรไม่ได้จริงๆ พอถึงวันที่ 3 แจ๊คสันหายไปเลย ตอนแรกพวกผมก็เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรไป แต่ว่าลุง “ซาลามะ” แกมาบอกผมว่าแจ๊คสันกลับไปแล้ว วันนั้นให้แกขับเรือหางจากเกาะไปส่งที่ฝั่ง” ครูน้อยแกเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงกลางผสมใต้แท้ๆ
...มะระยำ!!!แล้วมั๊ยหละ ไอ้สัน(ดาน)ทำกรูเข้าแล้ว หนอยแถมดันใช้ชื่อว่าแจ๊คสันอีกต่างหาก...ผมสบถอยู่ในใจ
“ ดีนะที่คนพาไปส่งเป็นลุงซาลามะ เพราะหน้ามรสุมอย่างนี้ไม่มีใครเขาเอาเรือเล็กออกกันหรอกมันอันตราย แต่ว่าลุงซาลามะแกเชี่ยวทะเลมาก แต่ว่าวันนั้นแกก็แย่เหมือนกัน เพราะกว่าแกจะขับเรือหางเลาะคลื่นจากเกาะไปถึงฝั่งได้ก็กินเวลาไปกว่า 12 ชั่วโมง ได้ข่าวว่าเพื่อนคุณอ๊วกตลอดทางเลยหนิ”
ครูน้อยเล่าถึงการกลับไปของไอ้สัน ก่อนที่จะแนะนำให้ผมรู้จักกับลุงซาลามะที่พาเด็กๆกุลีกุจอขนเสบียงลงมาจากเรือที่ผมนั่งมา
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับผู้อาวุโสชาวมอแกน ที่กลายเป็นเพื่อนต่างวัยของผมไปโดยปริยาย และช่วงที่ผมอยู่บนเกาะสุรินทร์ผมก็ลืมไอ้สันไปโดยปริยายเช่นกัน
พูดถึงลุงซาลามะแล้ว ครั้งแรกที่ผมเจอแกดูเผินๆก็เหมือนผู้อาวุโสชาวเลทั่วไป คือมีหุ่นผอมเกร็ง ผิวดำ กร้านแดด แถมผมเผ้าหยิกยุ่งเหยิงที่ไม่รู้ว่าแกตัดผมที่ร้านไหนผมขาวถึงเต็มหัวไปหมด ส่วนหน้าตาของแกนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกร้านทะเล
กระนั้นลุงซาลามะก็มีบุคลิกโดดเด่นตรงที่ แกเป็นคนพูดจาโผงผางเสียงดัง ยิ้มง่าย บ่นง่าย และถ้าใครเดินเฉียดไปใกล้ๆแก จะไม่ได้กลิ่นอายทะเลเหมือนชาวเลทั่วไป แต่ว่าจะได้กลิ่นสุราระอุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากใครดูลุงซาลามะจากภายนอก ก็จะเดาไม่ออกเลยว่าแกเป็นกูรูแห่งท้องทะเลชนิดที่หาตัวจับยากในเมืองไทย และเป็นผู้นำเผ่ามอแกน“ยิปซีแห่งท้องทะเล”กลุ่มสุดท้ายในเมืองไทย
“นี่หลานไปเดินหาปลากับลุงที่หาดกันดีกว่า เดี๋ยวลุงจะหาปลาตัวโตๆมาให้กินตอนเย็น” ลุงซาลามะชวนผมตามไปดูแกหาปลาพร้อมๆกับฉมวกสามง่ามคู่กายด้วยท่าทางที่มั่นใจ เดินไปผิวปากไป ส่วนผมก็คว้ากล้องคู่กายเดินตามไปติดๆ
ระหว่างเดินหาปลา เรา 2 คนก็ทำความรู้จักกันมากขึ้น และมันน่าแปลกที่เรา 2 คนสนิทกันเร็วมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังสีสุราที่ต่างคนต่างแผ่ถึงกันหรือเปล่า
พอถึงช่วงที่น้ำทะเลปริ่มหัวเข่า ลุงซาลามะเดินลุยไปพักใหญ่ ก่อนที่จะหันมาส่งสัญญาณให้ผมยืนนิ่งๆ ส่วนแกง้างฉมวกหมุนตัวไปมา
ควับ!?!
เสียงฉมวกของลุงพุ่งเข้าใส่ผิวน้ำ ซึ่งผมเห็นเพียงแค่สายน้ำที่แตกกระจาย แต่ว่าพอลุงแกถอนฉมวกขึ้นมา ปลายฉมวกกลับมีปลาเกล็ดสีขาวอมชมพูตัวขนาดท่อนแขนดิ้นกระแด่วๆอยู่
“ตัวนี้ยังไม่เท่าไหร่ แถวนี้มันมีปลาตัวโตเยอะ เดี๋ยวลุงจะแทงให้อีก”
ลุงซาลามะพูดขึ้นมาลอยคล้ายๆกับโม้ ก่อนที่จะยื่นเจ้าปลาผู้โชคร้ายให้ผมใส่ถุงถือไว้ หลังจากนั้นแกก็เดินดุ่มๆมองซ้ายมองขวาตามผิวน้ำ ส่วนผมเลี่ยงเดินอยู่ห่างๆแก เพราะใจหนึ่งไม่อยากทำให้ฝูงปลาตื่น ส่วนอีกใจก็ขออยู่ไกลฉมวกของลุงไว้ดีกว่า เพราะเกิดแกพุ่งพลาดฉมวกแฉลบมาปักผมแทนปลานี่ดูไม่จืดแน่
แสงตะวันยามบ่ายบนอ่าวไทรเอนร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมทะเลยามนี้หลบลี้หนีหาย อากาศจากท้องฟ้าสู่ท้องทะเลร้อนระยับ
ผู้อาวุโสชาวมอแกนยังคงเดินดุ่มๆเหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาส่องบนผิวน้ำ
สักพักแกส่งสัญญาณให้ผม พร้อมกับทำมือว่าปลาตัวนี้ขนาดเบ้อเริ่มแน่นอน
ท่าทางของแกตอนนี้ดูมุ่งมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งท้องทะเลดูผิดกับตอนที่เดินถือฉมวกผิวปากมาลิบลับ
ควับ!?!
ฉมวกพุ่งออกจากมือลุงอีกครา
สายน้ำแตกกระจายเป็นฟองขาว
ลุงซาลามะกระโดดถอนฉมวกจากพื้นทรายอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ฉมวกว่างเปล่าไม่มีแม้กระทั่งเกล็ดปลาติดมา
ผู้อาวุโสมอแกนเริ่มทำหน้าเคร่งเครียด แล้วฉมวกก็ถูกปล่อยอีกครั้ง
“เอ้า!!! โดนแล้ว”
เสียงลุงแกตะโกนลั่นหาด ขณะที่แกเดินไปดึงฉมวก ผมเดาว่าน่าจะได้ปลาตัวโตมาแกล้มเหล้ามื้อเย็นแน่ๆ
แต่ว่าผิดคาด ลุงซาลามะกระโดดตัวลอยในขณะที่ดึงฉมวกขึ้นมา
“เฮ้ย!!!ปลาหลุด แม๋งสู้ด้วยโว้ย” เสียงสบถของลุงดังลั่นหาด แต่ก็ดูเหมือนว่าแกจะเริ่มจับทางของเจ้าปลาตัวนี้ได้แล้ว เพราะที่ปลายสามง่ามของฉมวกมีเลือดหยดติ๋งๆอยู่
...ลมทะเลหลังจากที่นิ่งไปนานเริ่มพัดแผ่วๆมาอีกครั้ง...
แต่ว่าทั้งลุงซาลามะ ผม และเจ้าปลาตัวนั้นดูเหมือนต่างก็พร้อมใจนัดกันหยุดนิ่ง
ฉมวกถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง เช่นกัน ผมก็ยกกล้องขึ้นพร้อมกดชัตเตอร์
ชั่วอึดใจไวประมาณเสี้ยววินาที ลุงซาลามะพุ่งฉมวกออกไปเต็มแรง จากนั้นแกกระโดดตามติดฉมวกไปพร้อมๆกับใช้ตัวโถมกดฉมวกในท้องน้ำและพื้นทรายอยู่ชั่วขณะ ด้ามฉมวกที่สั่นดิกๆ ค่อยนิ่งลง
“ได้แล้ว ตัวนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 โล เนื้อของมันกินดีทีเดียว” ลุงซาลามะตะโกนบอก จากนั้นแกก็ค่อยๆยกเจ้าปลาเคราะห์ร้ายขึ้นมา
...โอ้ว แม่เจ้าโว้ย!!! ผมอุทานในใจ ปลาอะไรนี่ทำไมมันตัวโตดีแท้
“เป็นไง ลุงเก่งม้าย วันนี้เอาแค่นี้แหละ ได้ปลาตัวนี้มา ก็กินไปได้หลายมื้อแล้ว”
ลุงซาลามะคุย หลังจากนั้นแกก็เดินไปหาเถาวัลย์แถวต้นไม้ใหญ่ริมหาด แล้วใช้มีดที่พกติดตัวมาตัดเถาวัลย์ร้อยหัวปลาเดินหิ้วโทงๆเดินกลับไปทางโรงเรียน
ผมไม่รีรอถือเจ้าปลาตัวแรกเดินจ้ำอ้าวตามหลังแกไปพร้อมกับความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ที่ในวันนี้แม้ไม่ได้เจอไอ้สัน(ดาน) แต่ผมก็ได้มาเจอ The Old Man and The Sea ตัวจริงเสียงจริงเข้าให้แล้ว...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หมายเหตุ : จริงๆแล้วเกาะสุรินทร์ถือเป็นอุทยานแห่งชาติฯที่ได้รับการประกาศมาตั้งแต่ปี 2524 เพราะฉะนั้นใครที่จับสัตว์น้ำในเขตพื้นที่อุทยานฯ ถือว่าเป็นทำผิดกฎ แต่ว่าที่ลุงซาลามะสามารถออกแทงปลาจับปลาได้ ก็เพราะทางอุทยานฯมีข้อยกเว้นให้ชาวมอแกนที่อยู่อาศัยบนเกาะมานานนับร้อยปี ตั้งแต่ก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯสามารถจับสัตว์น้ำกินเพื่อการยังชีพได้
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
“ซาลามะ” : The Old Man and The Sea (จบ)
บนถนนการเดินทาง นอกเหนือจากจุดหมายปลายทางและประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว ผมมักจะได้พบกับ “เพื่อน” ใหม่ๆเสมอ ซึ่งเหตุที่ทำให้เจอะเจอเพื่อนใหม่ในแต่ละครั้ง มันก็ล้วนต่างกรรมต่างวาระกันออกไป
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งการพบเพื่อนใหม่ของผมค่อนข้างแหวกแนวออกไป คือผมพบเพื่อนใหม่เพราะว่าไม่เจอเพื่อนเก่า
เรื่องราวก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ว่างานนี้ถ้าไม่พูดถึง “ไอ้สัน” มันก็จะดูกระไรอยู่
“ไอ้สัน” เพื่อนของผมคนนี้ ชื่อจริงของมันคือ “คมสัน” แต่ผมและเพื่อนมักจะเรียกมันว่า “ไอ้สัน”(ดาน)
สมัยที่ไอ้สันเรียนจบมหา’ลัยใหม่ๆ ก็เป็นสไตล์ของเด็กแนวรุ่นผมคือ ขอเที่ยวก่อนแล้วค่อยหางานทำ
พอไอ้สันเี่ที่ยวกลับมา มันก็มาเล่าให้ผมฟังฟังด้วยอารมณ์ติสต์แDก ว่า
“กรูว่ากรูค้นพบตัวเองแล้วว่ะ พอดีที่กรูไปเกาะสุรินทร์ แล้วไปขอพักกับเพื่อนที่โรงเรียนบนเกาะ เห็นบรรยากาศแล้วอยากจะไปเป็นครูสอนเด็กๆมอแกนที่นั่น เด็กพวกนั้นน่ารักและใสซื่อดี ส่วนทะเลที่นั่นแม๋งสวยshipหาย น้ำงี้ใสแจ๋ว ปะการังเพียบ ของกินนี่ก็ซีฟู้ดดีๆทั้งนั้น พวกมอแกนเขาจับมาให้ นี่กรูบอกทางโรงเรียนเขาไว้แล้ว อีก 2 เดือนจะลงไป ยังไงว่างๆไปเที่ยวหากรูได้ หาไม่ยากบนเกาะมีโรงเรียนเดียว”
หลังจากนั้นไอ้สันก็หายหน้าหายตาไปจากวงสุราเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง...
ช่วงปลายปีถัดมา คลื่นลมอันดามันสงบ ผมหาวันว่างเดินทางไปหาไอ้สันที่ “โรงเรียนสุรัสวดี”บนอ่าวไทรเอน แห่งเกาะสุรินทร์ โดยขอติดเรือไปกับเจ้าเจ้าหน้าที่ประมงผู้ใจดี
แต่เมื่อไปถึงยังโรงเรียน ได้ยินครูน้อยเล่าให้ฟังก็แทบช็อค!!!
“อ๋อ แจ็คสันนะหรือ เขาว่าจะมาเป็นครูที่นี่ แต่พอดีเขามาช่วงมรสุม ทะเลมันมีแต่คลื่น น้ำทะเลก็ขุ่น ส่วนบนเกาะก็มีแต่ฝน อาหารการกินก็มีพวกมาม่า ปลากระป๋อง พวกมอแกนเขาก็ไม่เสี่ยงออกหาปลากันหรอก มันไม่เหมือนกับตอนที่แจ๊คสันมาเที่ยวครั้งแรกตอนนั้นมันช่วงหมดมรสุม ทะเลมันก็ดูดีเป็นธรรมดา”
“แจ๊คสันตอนมาอยู่ที่นี่วันแรกเขาก็สนุกดี แต่พอวันที่สองผมเห็นเขาเริ่มบ่น เพราะมันมีแต่คลื่นลมกับฝน ทำอะไรไม่ได้จริงๆ พอถึงวันที่ 3 แจ๊คสันหายไปเลย ตอนแรกพวกผมก็เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรไป แต่ว่าลุง “ซาลามะ” แกมาบอกผมว่าแจ๊คสันกลับไปแล้ว วันนั้นให้แกขับเรือหางจากเกาะไปส่งที่ฝั่ง” ครูน้อยแกเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงกลางผสมใต้แท้ๆ
...มะระยำ!!!แล้วมั๊ยหละ ไอ้สัน(ดาน)ทำกรูเข้าแล้ว หนอยแถมดันใช้ชื่อว่าแจ๊คสันอีกต่างหาก...ผมสบถอยู่ในใจ
“ ดีนะที่คนพาไปส่งเป็นลุงซาลามะ เพราะหน้ามรสุมอย่างนี้ไม่มีใครเขาเอาเรือเล็กออกกันหรอกมันอันตราย แต่ว่าลุงซาลามะแกเชี่ยวทะเลมาก แต่ว่าวันนั้นแกก็แย่เหมือนกัน เพราะกว่าแกจะขับเรือหางเลาะคลื่นจากเกาะไปถึงฝั่งได้ก็กินเวลาไปกว่า 12 ชั่วโมง ได้ข่าวว่าเพื่อนคุณอ๊วกตลอดทางเลยหนิ”
ครูน้อยเล่าถึงการกลับไปของไอ้สัน ก่อนที่จะแนะนำให้ผมรู้จักกับลุงซาลามะที่พาเด็กๆกุลีกุจอขนเสบียงลงมาจากเรือที่ผมนั่งมา
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับผู้อาวุโสชาวมอแกน ที่กลายเป็นเพื่อนต่างวัยของผมไปโดยปริยาย และช่วงที่ผมอยู่บนเกาะสุรินทร์ผมก็ลืมไอ้สันไปโดยปริยายเช่นกัน
พูดถึงลุงซาลามะแล้ว ครั้งแรกที่ผมเจอแกดูเผินๆก็เหมือนผู้อาวุโสชาวเลทั่วไป คือมีหุ่นผอมเกร็ง ผิวดำ กร้านแดด แถมผมเผ้าหยิกยุ่งเหยิงที่ไม่รู้ว่าแกตัดผมที่ร้านไหนผมขาวถึงเต็มหัวไปหมด ส่วนหน้าตาของแกนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกร้านทะเล
กระนั้นลุงซาลามะก็มีบุคลิกโดดเด่นตรงที่ แกเป็นคนพูดจาโผงผางเสียงดัง ยิ้มง่าย บ่นง่าย และถ้าใครเดินเฉียดไปใกล้ๆแก จะไม่ได้กลิ่นอายทะเลเหมือนชาวเลทั่วไป แต่ว่าจะได้กลิ่นสุราระอุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากใครดูลุงซาลามะจากภายนอก ก็จะเดาไม่ออกเลยว่าแกเป็นกูรูแห่งท้องทะเลชนิดที่หาตัวจับยากในเมืองไทย และเป็นผู้นำเผ่ามอแกน“ยิปซีแห่งท้องทะเล”กลุ่มสุดท้ายในเมืองไทย
“นี่หลานไปเดินหาปลากับลุงที่หาดกันดีกว่า เดี๋ยวลุงจะหาปลาตัวโตๆมาให้กินตอนเย็น” ลุงซาลามะชวนผมตามไปดูแกหาปลาพร้อมๆกับฉมวกสามง่ามคู่กายด้วยท่าทางที่มั่นใจ เดินไปผิวปากไป ส่วนผมก็คว้ากล้องคู่กายเดินตามไปติดๆ
ระหว่างเดินหาปลา เรา 2 คนก็ทำความรู้จักกันมากขึ้น และมันน่าแปลกที่เรา 2 คนสนิทกันเร็วมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังสีสุราที่ต่างคนต่างแผ่ถึงกันหรือเปล่า
พอถึงช่วงที่น้ำทะเลปริ่มหัวเข่า ลุงซาลามะเดินลุยไปพักใหญ่ ก่อนที่จะหันมาส่งสัญญาณให้ผมยืนนิ่งๆ ส่วนแกง้างฉมวกหมุนตัวไปมา
ควับ!?!
เสียงฉมวกของลุงพุ่งเข้าใส่ผิวน้ำ ซึ่งผมเห็นเพียงแค่สายน้ำที่แตกกระจาย แต่ว่าพอลุงแกถอนฉมวกขึ้นมา ปลายฉมวกกลับมีปลาเกล็ดสีขาวอมชมพูตัวขนาดท่อนแขนดิ้นกระแด่วๆอยู่
“ตัวนี้ยังไม่เท่าไหร่ แถวนี้มันมีปลาตัวโตเยอะ เดี๋ยวลุงจะแทงให้อีก”
ลุงซาลามะพูดขึ้นมาลอยคล้ายๆกับโม้ ก่อนที่จะยื่นเจ้าปลาผู้โชคร้ายให้ผมใส่ถุงถือไว้ หลังจากนั้นแกก็เดินดุ่มๆมองซ้ายมองขวาตามผิวน้ำ ส่วนผมเลี่ยงเดินอยู่ห่างๆแก เพราะใจหนึ่งไม่อยากทำให้ฝูงปลาตื่น ส่วนอีกใจก็ขออยู่ไกลฉมวกของลุงไว้ดีกว่า เพราะเกิดแกพุ่งพลาดฉมวกแฉลบมาปักผมแทนปลานี่ดูไม่จืดแน่
แสงตะวันยามบ่ายบนอ่าวไทรเอนร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมทะเลยามนี้หลบลี้หนีหาย อากาศจากท้องฟ้าสู่ท้องทะเลร้อนระยับ
ผู้อาวุโสชาวมอแกนยังคงเดินดุ่มๆเหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาส่องบนผิวน้ำ
สักพักแกส่งสัญญาณให้ผม พร้อมกับทำมือว่าปลาตัวนี้ขนาดเบ้อเริ่มแน่นอน
ท่าทางของแกตอนนี้ดูมุ่งมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งท้องทะเลดูผิดกับตอนที่เดินถือฉมวกผิวปากมาลิบลับ
ควับ!?!
ฉมวกพุ่งออกจากมือลุงอีกครา
สายน้ำแตกกระจายเป็นฟองขาว
ลุงซาลามะกระโดดถอนฉมวกจากพื้นทรายอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ฉมวกว่างเปล่าไม่มีแม้กระทั่งเกล็ดปลาติดมา
ผู้อาวุโสมอแกนเริ่มทำหน้าเคร่งเครียด แล้วฉมวกก็ถูกปล่อยอีกครั้ง
“เอ้า!!! โดนแล้ว”
เสียงลุงแกตะโกนลั่นหาด ขณะที่แกเดินไปดึงฉมวก ผมเดาว่าน่าจะได้ปลาตัวโตมาแกล้มเหล้ามื้อเย็นแน่ๆ
แต่ว่าผิดคาด ลุงซาลามะกระโดดตัวลอยในขณะที่ดึงฉมวกขึ้นมา
“เฮ้ย!!!ปลาหลุด แม๋งสู้ด้วยโว้ย” เสียงสบถของลุงดังลั่นหาด แต่ก็ดูเหมือนว่าแกจะเริ่มจับทางของเจ้าปลาตัวนี้ได้แล้ว เพราะที่ปลายสามง่ามของฉมวกมีเลือดหยดติ๋งๆอยู่
...ลมทะเลหลังจากที่นิ่งไปนานเริ่มพัดแผ่วๆมาอีกครั้ง...
แต่ว่าทั้งลุงซาลามะ ผม และเจ้าปลาตัวนั้นดูเหมือนต่างก็พร้อมใจนัดกันหยุดนิ่ง
ฉมวกถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง เช่นกัน ผมก็ยกกล้องขึ้นพร้อมกดชัตเตอร์
ชั่วอึดใจไวประมาณเสี้ยววินาที ลุงซาลามะพุ่งฉมวกออกไปเต็มแรง จากนั้นแกกระโดดตามติดฉมวกไปพร้อมๆกับใช้ตัวโถมกดฉมวกในท้องน้ำและพื้นทรายอยู่ชั่วขณะ ด้ามฉมวกที่สั่นดิกๆ ค่อยนิ่งลง
“ได้แล้ว ตัวนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 โล เนื้อของมันกินดีทีเดียว” ลุงซาลามะตะโกนบอก จากนั้นแกก็ค่อยๆยกเจ้าปลาเคราะห์ร้ายขึ้นมา
...โอ้ว แม่เจ้าโว้ย!!! ผมอุทานในใจ ปลาอะไรนี่ทำไมมันตัวโตดีแท้
“เป็นไง ลุงเก่งม้าย วันนี้เอาแค่นี้แหละ ได้ปลาตัวนี้มา ก็กินไปได้หลายมื้อแล้ว”
ลุงซาลามะคุย หลังจากนั้นแกก็เดินไปหาเถาวัลย์แถวต้นไม้ใหญ่ริมหาด แล้วใช้มีดที่พกติดตัวมาตัดเถาวัลย์ร้อยหัวปลาเดินหิ้วโทงๆเดินกลับไปทางโรงเรียน
ผมไม่รีรอถือเจ้าปลาตัวแรกเดินจ้ำอ้าวตามหลังแกไปพร้อมกับความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ที่ในวันนี้แม้ไม่ได้เจอไอ้สัน(ดาน) แต่ผมก็ได้มาเจอ The Old Man and The Sea ตัวจริงเสียงจริงเข้าให้แล้ว...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หมายเหตุ : จริงๆแล้วเกาะสุรินทร์ถือเป็นอุทยานแห่งชาติฯที่ได้รับการประกาศมาตั้งแต่ปี 2524 เพราะฉะนั้นใครที่จับสัตว์น้ำในเขตพื้นที่อุทยานฯ ถือว่าเป็นทำผิดกฎ แต่ว่าที่ลุงซาลามะสามารถออกแทงปลาจับปลาได้ ก็เพราะทางอุทยานฯมีข้อยกเว้นให้ชาวมอแกนที่อยู่อาศัยบนเกาะมานานนับร้อยปี ตั้งแต่ก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯสามารถจับสัตว์น้ำกินเพื่อการยังชีพได้
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
“ซาลามะ” : The Old Man and The Sea (จบ)