“ปะป๊า มาม้า หนูอยากไปดูหมีแพนด้า”
“มาม้าก็อยากดูแพนด้าจ๊ะ”
“อาม่าก็อยากเห็นหมีแพนด้าตัวเป็นๆด้วยเหมือนกัน”
12 ตุลาคม 2546 หมีแพนด้า 1 คู่ เพศผู้นาม “ช่วงช่วง” และเพศเมียนาม “หลินฮุ่ย” ถูกส่งตัวจากประเทศจีนมายังจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะ “ทูตสันถวไมตรี” ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่น
นามของช่วง ช่วง และหลินฮุ่ย เริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงก่อนที่จะกลายเป็นกระแสแพนด้าฟีเวอร์อยู่ช่วงหนึ่ง
ณ เวลานั้นจนถึงเวลานี้ อีกไปกี่วันก็จะครบ 1 ขวบปีที่คู่หมีแพนด้าย้ายนิวาสสถานจากเมืองจีนแผ่นดินเกิดมาพำนักอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ และได้กลายเป็นขวัญใจของชาวเชียงใหม่ รวมไปถึงคนไทยทั้งประเทศที่ตื่นเต้นยินดีที่จะได้เห็นหมีแพนด้า สัตว์เมืองหนาวที่นานๆทีเมืองร้อนอย่างบ้านเราจะมีโอกาสได้ยลโฉมอย่างใกล้ชิด
ทำความรู้จักกับช่วงช่วงและหลินฮุ่ย
“ช่วง ช่วง” (หมายถึง ผู้มีความคิดสร้างสรรค์) หรือชื่อทางการว่า “เทวัญ” (ชื่อเล่นไทย“คำอ้าย”) เป็นหมีแพนด้าเพศผู้ อายุ 4 ปี เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2543 มีพ่อชื่อ “ชินชิง” แม่ชื่อ “ไป่แฉว” มาเมืองไทยใหม่ๆหนัก 106 กิโลกรัม ปัจจุบันหนัก 148 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าอ้วนไปนิดหนึ่งและกำลังเข้าคอร์สลดน้ำหนักอยู่
ส่วน “หลินฮุ่ย” (หมายถึง ผู้มีคุณต่อป่าไม้) มีชื่อทางการว่า “เทวี” (ชื่อเล่นไทย“คำเอ้ย”) เป็นหมีแพนด้าเพศเมีย อายุ 3 ปี เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2544 มีพ่อชื่อ “พ่าน พ่าน” แม่ชื่อ “นัมเบอร์ 21” มาเมืองไทยหนัก 60 กิโลกรัม ปัจจุบันหนัก 90 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าไม่อ้วนเอาเท่าไหร่
ทั้งช่วง ช่วง และ หลินฮุ่ย เกิดที่ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้าวู่หลง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยหมีแพนด้าทั้งคู่ ถือเป็นทูตสันถวไมตรีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ทางประเทศจีนได้มีหนังสือผ่านทางเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยว่ายินดีที่จะสนับสนุนหมีแพนด้าจำนวน 1 คู่ มาจัดแสดงในประเทศไทย(ตามคำขอ) เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรีแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันมาช้านานและถือเป็นแพนด้าคู่สุดท้ายที่ประเทศจีนอนุมัติให้ออกนอกประเทศโดยก่อนหน้านี้มีแพนด้าอยู่ในประเทศต่าง ๆ เพียง 5 ประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2544 และมอบหมายให้องค์การสวนสัตว์เตรียมปรับปรุงและพัฒนาสถานที่สำหรับเลี้ยงและวิจัยหมีแพนด้าให้เหมาะสม และนั่นเป็นถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “โครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย”
แต่ว่าการที่จะได้คู่หมีแพนด้ามาเพื่อการศึกษาวิจัยฯนั้น ก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ เพราะทางประเทศไทยจะต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับรัฐบาลจีนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อศึกษาวิจัยซึ่งบางประเทศต้องจ่ายถึงปีละ 40 ล้านบาท แต่กรณีของประเทศไทยซึ่งมีความใกล้ชิดเป็นพิเศษจะมีค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้กับจีนปีละประมาณ 12 ล้านบาทเท่านั้น
และเมื่อคู่หมีแพนด้ามาอยู่เมืองไทย ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ก็ได้มีการสร้างสถานที่พักและส่วนจัดแสดงหมีแพนด้าขึ้นในพื้นที่ 4 ไร่มูลค่า 46 ล้านบาท โดยเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546
สำหรับนิสัยของหมีแพนด้า 2 ตัวนี้จะมีความแตกต่างกันตามนิสัยของเพศ ซึ่งเรื่องนี้ พงค์พันธ์ นันทขว้าง หนึ่งในทีมผู้ดูแลหมีแพนด้ามาตั้งแต่วันแรกที่อุ้งเท้าหมีเหยียบเมืองไทย ได้กล่าวถึงลักษณะนิสัยของช่วง ช่วงว่า
“ช่วง ช่วง เป็นหมีที่ค่อนข้างดื้อ เอาแต่ใจ เช่นถ้าไม่โยนไผ่จนถึงตัวก็จะไม่ลุกมาเอา หรือถ้าจะลุกก็จะเดินหนีไปเลยไม่ยอมกินแล้วก็เกิดอาการ “งอน” แต่ถ้าวันไหนอารมณ์ดีก็น่ารักและถือว่าเป็นหมีที่ค่อนข้างฉลาดคือรู้จักวิธีที่จะได้กินผลไม้ เช่นวิ่งไปวิ่งมาเรียกร้องความสนใจ ให้เราหยุด พร้อมกับเอาผลไม้อย่างแอปเปิ้ลสีแดงซึ่งเป็นของโปรดเขามาล่อ ก็เป็นอันว่าช่วง ช่วง ได้กินผลไม้เรียบร้อยโรงเรียนหมีไป”
“ส่วนหลินฮุ่ยเป็นธรรมชาติของเพศเมียที่จะเรียบร้อยกว่า ว่านอนสอนง่ายแต่ก็มีวิธีขอของกินไผ่เหมือนกัน แต่จะอาศัยความสงสารเข้าว่า โดยจะมายืนรออยู่ข้างผนัง ทำหน้าละห้อย ตาเศร้าๆ เดินไปเดินมา เราก็จะจับอาการได้ว่าอยากกินไผ่ก็จะให้ไป ส่วนอาการเบื่อส่วนใหญ่จะเกิดมาจากการไม่มีอะไรเล่นก็จะเริ่มนั่งเฉยๆ ดมโน่นดมนี่ นั่งเหม่อซักพักก็จะเดินไปนอน”
พงค์พันธ์ อธิบายนิสัยของหลินฮุ่ยเพิ่มเติมว่า ถ้าเกิดอาการดีใจหลินฮุ่ยจะยกขาสองข้างขึ้นเล่นกับช่วง ช่วง และกระโดดไปมา สำหรับเรื่องขำขำก็จะมีเวลาเหม่อมองไปที่อื่นแล้วเราไม่ทันสังเกตแล้วโยนไผ่เข้าไปโดนตัว โดนหน้าเขา ก็จะมีอาการตกใจ แถมสะดุ้งเล็กน้อย ซึ่งก็เรียกเสียงฮาได้ทุกครั้ง
“หลินฮุ่ยจะชอบแอปเปิ้ลสีแดงมากที่สุด เนื่องจากรสชาติหวานกรอบ รองลงมาก็แครอทแล้วก็ขนมปังที่ทำไว้ให้ สุดท้ายก็คงจะเป็นไผ่ แต่เราพยายามจะให้กินไผ่มากที่สุดเพราะอยากให้ได้ไฟเบอร์เป็นผลดีต่อการย่อยด้วย แต่สำหรับช่วง ช่วง ตอนนี้โดนสั่งให้งดผลไม้กับขนมปังลงไป เพราะเริ่มจะอ้วนแล้ว
“ส่วนเวลาที่เช็ดตัวก็จะต้องให้อาหารเพราะไม่งั้นหมีแพนด้าจะแว้งมาหาเรา มางับขาเราเล่น ซึ่งการหยอกเล่นของหมีแพนด้าถือว่าแรงสำหรับคน ตรงนี้ก็ต้องมีอาหารคอยล่อตลอด ตั้งแต่ดูแลมา โดนเล็บข่วน โดนดึงเสื้อ ถือว่าเป็นอาการปกติของหมีที่อยากจะเล่นกับเรา”
พงค์พันธ์ เล่าถึงลักษณะะนิสัยและความคุ้นเคยที่อยู่กับหมีแพนด้ามาหนึ่งปี โดยเขาและทีมจะแบ่งการทำงานและทีมงานรับผิดชอบเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงระหว่าง 08.00-16.00น. ช่วงระหว่าง 16.00-24.00น. และช่วงระหว่าง 24.00 -08.00น.
โดยทุกช่วงเวลาเจ้าหน้าที่จะทำการจดบันทึกพฤติกรรมของหมีแพนด้าอย่างละเอียด เป็นต้นว่า นอนท่าไหนตะแคงซ้ายหรือขวา ปัสสาวะกี่ครั้ง อุจจาระเป็นสีอะไร กินน้ำแค่ไหน ซึ่งจะมีนักวิจัยอีกหนึ่งคนที่จะต้องเอาข้อมูลตารางนี้ไปแยกพฤติกรรมเพื่อโครงการวิจัยหมีแพนด้าอีกครั้งหนึ่ง
“ในส่วนอาหารของหมีแพนด้านั้นจะมีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ไผ่ตง ผลไม้คือแอปเปิ้ล แครอท นอกจากนี้ก็ยังมีขนมปังที่ได้สูตรมาจากเมืองจีน ส่วนไผ่ที่เห็นเป็นแท่งๆนั้นจริงๆแล้วหมีแพนด้าจะกินแต่เยื่อไผ่ที่เห็นเป็นขุยสีขาวๆประมาณ 2-3มิลลิเมตรจากด้านในเข้ามา เวลากินก็จะใช้ฟันปลอกเปลือกเอาแต่ด้านใน พอกินเสร็จแล้วก็จะเอาอันใหม่และทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ” พงค์พันธ์ เล่า
“สำหรับผมแล้ว ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้เลี้ยงแพนด้า เพราะน้อยคนนักที่ได้สัมผัสกับแพนด้าอย่างใกล้ชิด”พงค์พันธ์กล่าว
นอกเหนือไปจากลักษณะนิสัยและอาหารการกินของหมีแพนด้าแล้ว เรื่องของสุขภาพหมีแพนด้าด็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
สัตว์แพทย์หญิงกรรณิการ์ นิ่มตระกูล ได้กล่าวว่าหมีแพนด้าทั้ง 2 ตัวถือได้ว่ามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ช่วง ช่วง ออกจะอ้วนท้วนไปนิดนึงโดยน้ำหนักเกินมาประมาณ 10 กิโลกรัม ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ส่วนกิจวัตรประจำวันคือจะสลับตื่นสลับนอนตลอดทั้งคืนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาช่วง ช่วง จะมีอาการไม่สบายบ้างคือการถ่ายท้องซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติของหมีแพนด้าจะถ่ายท้อง 3-4เดือนครั้งถือเป็นการขับสารพิษในร่างกายออกรวมไปถึงพยาธิด้วย
แพนด้าฟีเวอร์ แรงแค่ช่วงแรก
เหตุขาดการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง
กระแส “แพนด้า ฟีเวอร์”ดูเหมือนจะแรงแค่ช่วงแรกๆ เพราะหลายฝ่ายหลายหน่วยงานต่างพากันจัดกิจกรรมนำเที่ยวเชียงใหม่พร้อมพ่วงโปรแกรมชม “หมีแพนด้า”เข้าไปด้วย
เวลานั้นใครที่มาเชียงใหม่แล้วยังไม่ได้ชมหมีแพนด้า ถือว่า “เชยสุดๆ” และใครที่ได้ไปเห็นมาแล้วก็จะมาบอกเล่ากันปากต่อปากถึงความน่ารักน่าชังของช่วง ช่วง และหลินฮุ่ย แต่ปัจจุบันกระแสความแรงดังกล่าวดูท่าจะ “แผ่ว”ลงไปอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่น่าสังเกตว่าจำนวนผู้เข้าชมหมีแพนด้าส่วนใหญ่เป็น “คนไทย”
จากผลสรุปยอดการเข้าชมหมีแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่ตั้งแต่ที่เริ่มเปิดให้ประชาชนเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.46-20 ก.ย.47 มีจำนวนผู้เข้าชมหมีแพนด้ารวมทั้งสิ้น 807,554 คน แบ่งเป็น คนไทย ผู้ใหญ่ 510,183 คน เด็ก 242,390 คน คนต่างชาติ ผู้ใหญ่ 26,747 คน เด็ก 2,802 คน และคนเข้าชมฟรี 25,432 คน โดยสามารถเก็บค่าเข้าชมหมีแพนด้าได้รวมทั้งสิ้น 33,171,750 บาท(ก่อนหักค่าใช้จ่าย)
ซึ่งมีข้อสังเกตว่าค่าเข้าชมกว่า 30 ล้านบาทมาจากผู้เข้าชมที่เป็นคนไทย ส่งผลให้ยอดผู้เข้าชมสวนสัตว์เชียงใหม่ตั้งแต่ปี พศ.2544 ที่มีจำนวนผู้เข้าชมจำนวน548,729 คน พุ่งสูงขึ้นเป็นจำนวน 827,250 คนในปี พ.ศ.2547(ม.ค-ส.ค) และแน่นอนว่าจากตัวเลขผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทำให้รายได้ของสวนสัตว์เชียงใหม่เพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ.2544 ที่มีจำนวน 15,595,624.50บาท(ก่อนหักค่าใช้จ่าย) กระทั่งถึงปี พ.ศ.2547 รายได้ของสวนสัตว์เชียงใหม่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็นจำนวนถึง 38,014,612.86 บาท(ก่อนหักค่าใช้จ่าย)
โดยปัจจุบันซึ่งถือว่าเป็นช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว ในวันธรรมดาจะมีผู้เข้าชมหมีแพนด้าเฉลี่ยวันละประมาณ 700-1,000 คน และวันหยุดเสาร์อาทิตย์เฉลี่ยวันละประมาณ 1,500-2,000 คน จากที่ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวจะมีผู้เข้าชมหมีแพนด้าเฉลี่ยวันละประมาณ 2,000-3,000 คน และวันหยุดเสาร์อาทิตย์เฉลี่ยวันละประมาณ 4,000-5,000 คน ซึ่งในช่วงเทศกาลต่างๆ เคยมีผู้เข้าชมหมีแพนด้าในวันเดียวกว่า 10,000 คน
เมื่อกระแส “แพนด้า ฟีเวอร์” เริ่มแผ่ว กลยุทธ์การดึงให้คนมาเที่ยวชมจึงต้องถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
ธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ได้เปิดเผยถึงโครงการทำหิมะเทียมให้แพนด้าเพื่อสร้างความแปลกใหม่ในการเข้าชม และเป็นการสร้างกระแสแพนด้าให้กลับมาคึกคักอีกครั้งว่า ขณะนี้ทางสวนสัตว์เชียงใหม่กำลังอยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่ เพื่อจะต่อเติมส่วนจัดแสดงที่สามารถจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของหมีแพนด้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใกล้เคียงสภาพความความเป็นอยู่ตามธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
“ส่วนที่ต่อเติมดังกล่าวจะมีการสร้างหิมะเทียมให้แก่หมีแพนด้าด้วย ซึ่งส่วนนี้จะสร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับส่วนจัดแสดงเดิมและสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ ทั้งนี้เหตุผลของการสร้างส่วนจัดแสดงดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าหมีแพนด้าเคยอยู่กับหิมะมาก่อน รวมทั้งต้องการที่จะสร้างสีสันความแปลกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวในการเข้าชมหมีแพนด้าด้วย” ธนภัทรกล่าว
ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการส่งเสริมทางด้านการตลาด และดึงดูดให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติเดินทางเข้าชมหมีแพนด้านมากขึ้น ขณะนี้ได้มีการประสานงานกับบริษัทนำเที่ยวต่างๆ ในการบรรจุการเข้าชมหมีแพนด้าเป็นจุดท่องเที่ยวหนึ่งในรายการท่องเที่ยวที่มีการเสนอขาย ซึ่งหากได้ข้อตกลงในรายละเอียดแล้วจะมีการดำเนินการขออนุมัติจากคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์อีกครั้งหนึ่ง
ด้าน อธิวัฒน์ ธีรภักดีเวช ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษบริษัทเอเพ็กซ์ ทอยส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์ผลิตสินค้าและของที่ระลึกเกี่ยวกับหมีแพนด้ากล่าวว่า ยอดขายในช่วงที่หมีแพนด้ามาใหม่ๆนั้น(พ.ย.46-เม.ย.47)ถือว่าเป็นช่วงที่กระแสหมีแพนด้าแรงสุดๆ โดยมียอดขายถึง 9 แสน ถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน
“ตอนนี้ยอดขายถือว่าแผ่วลงไปมาก คืออยู่ระหว่าง 2-3 แสนบาทต่อเดือน ถามว่าคุ้มไหมถ้ามองในแง่ของกำไร ถือว่าไม่คุ้ม แต่เราไม่ได้มองที่จุดนั้นอย่างเดียว เพราะการที่บริษัทเข้ามารับงานตรงนี้เรามองในแง่ของสังคมและการกุศลด้วย โดยเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชื่อเสียงและสิ่งที่ดีๆให้กับสวนสัตว์ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งได้นำไปสนับสนุนโครงการวิจัยหมีแพนด้าด้วย”อธิวัฒน์ กล่าว
ส่วน บุญเลิศ เปเรร่า นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวภายในจ.เชียงใหม่ว่า จากการที่แพนด้ามาอยู่เชียงใหม่และการเกิดสายการบินโลว์คอสต์ต่างๆส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวชาวไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่พักหลังๆการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับแพนด้าดูจะน้อยลง ทำให้กระแสความสนใจของนักท่องเที่ยวน้อยลงไปด้วย ดังนั้นมองว่าทางสวนสัตว์เองควรเน้นการประชาสัมพันธ์และสร้างความแปลกใหม่ให้ออกสู่สายตานักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็จะช่วยสร้างความคึกคักให้กับธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ในวันที่ 10 ตุลาคมทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดงานฉลอง 1 ปีแพนด้า โดยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันว่าจะเดินทางไปเป็นประธานในพิธี พร้อมมอบรางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวดภาพถ่าย “แพนด้าน่ารัก” ในขณะที่สวนสัตว์เชียงใหม่ถือโอกาสนี้ขยายเวลาการชมสัตว์จาก 6 โมงเย็นเป็น 3 ทุ่มทุกวัน โดยใช้ชื่อว่า Twilight Zoo (ชมสัตว์ป่ายามค่ำคืน)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
หมีแพนด้าสัตว์หายาก
เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังสับสนกันอยู่ในเรื่องของการจำแนกกลุ่มของ "หมีแพนด้า" หรือ Giant Panda ว่าจริงๆแล้วจะอยู่ในกลุ่มของหมี(Ursidae)หรือกลุ่มของแรคคูน(Procyonidae) ซึ่งในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบการเรียงตัวของ DNA บนโครโมโซมของหมีทั้ง 6ชนิดและของหมีแพนด้าพบว่ามีรูปแบบที่เหมือนกัน จึงสรุปได้ว่าหมีแพนด้าน่าจะอยู่ในกลุ่มของหมีซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ มีขนาดจากหัวถึงหาง 1.5-1.9 เมตร เวลายืนท่าปกติ 4 ขาความสูงจากพื้นถึงไหล่ประมาณ 1 เมตร น้ำหนักประมาณ 70-125 กิโลกรัม
สำหรับหมีแพนด้าจะมีขนสีขาวและดำสลับกัน โดยบริเวณหู รอบดวงตา จมูก ขาหน้าจนถึงไหล่ ขาหลังและเท้ามีสีดำ ที่เหลือเป็นสีขาว ลักษณะขนปุกปุย มีกระดูกข้อมือยาวใหญ่โผล่ออกมาจากมือคล้ายหัวแม่มือทำหน้าที่เหมือนนิ้วที่ 6
ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของหมีแพนด้าจะอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเพียงที่เดียว ซึ่งหมีแพนด้าจะอาศัยบนภูเขาสูงที่มีความสูงประมาณ 2,600 -3,000 จากระดับน้ำทะเล พฤติกรรมของหมีแพนด้าเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการกระจายของไผ่เพราะหมีแพนด้ากินไผ่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในเมืองจีนมีไผ่มากชนิดกว่า 300 ชนิดใน 26 ตระกูล โดยหมีแพนด้าจะกินใบ กิ่งก้าน ลำต้นอ่อนและหน่อไม้เป็นอาหาร
การศึกษาวิจัยชีวิตประจำวันของหมีแพนด้าพบว่าหมีแพนด้าทำกิจกรรมต่างๆวันละ 15 ชั่วโมง พักผ่อน 9 ชั่วโมง หมีแพนด้านอนหลับโดยการนั่งพิงต้นไม้หรือก้อนหินใหญ่ บางครั้งนอนตามโพรงไม้หรือถ้ำ ส่วนกิจกรรมที่พบมากที่สุดคือการกินใช้เวลาวันละประมาณ 14 ชั่วโมง เหลืออีก 1 ชั่วโมงสำหรับขับถ่ายของเสีย เลียขน และดื่มน้ำ หมีแพนด้ากินอาหารทั้งกลางวันกลางคืนเพราะลำไส้สามารถดูดซึมอาหารได้น้อย
หมีแพนด้าชอบอยู่ลำพังตัวเดียว จะพบเป็นคู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยหมีแพนด้าเพศผู้กับเพศเมียจะติดต่อกันด้วยการดมกลิ่นเป็นเวลานานก่อนจะเริ่มฤดูผสมพันธุ์ อายุของการเจริญพันธุ์จะอยู่ที่ 5.5-6.5 ปี ทั้งเพศผู้และเพศเมียในธรรมชาติพบช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม มีระยะตั้งท้อง 3.5-5 เดือน ถือว่าการขยายพันธุ์ของหมีแพนด้าในถิ่นอาศัยปกติอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก หมีแพนด้าเพศเมียจะออกลูกคราวละ 1-3 ตัว และมักมีชีวิตรอดเพียงตัวเดียวเท่านั้น นอกจากนี้แม่หมีแพนด้าจะเลี้ยงดูลูกต่อไปนานถึงปีครึ่งทีเดียว