...มีคนบางจำพวกเมื่อพบพานกันแล้ว ก็จะกลมกลืนเช่นดั่งน้ำกับสุรา
แต่ทว่า สุรากับน้ำเมื่อละลายเข้าด้วยกัน สุราก็กลายเป็นจืด น้ำก็กลายจากธาตุเดิมของมัน
คนก็เช่นกัน เช่นกันทั้งสิ้น มีคนบางจำพวกพบพานกันแล้วก็เปลี่ยนแปรไป มีคนบางจำพวกเมื่อพบพานคนผู้หนึ่งแล้วก็เปลี่ยนแปรเป็นอ่อนแอกว่าเดิมเล็กน้อย...
จาก “ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ” : “โก้วเล้ง”
รจนา : “ว. ณ เมืองลุง”เจียระไน
แม้ไม่เคยพบพานตัวจริง แต่กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ ว. ณ เมืองลุง เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมก็ทำให้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” อดใจหายไม่ได้
ว. ณ เมืองลุง คือใคร!?!
ว. ณ เมืองลุง
เป็นนามปากกาของ “ชิน บำรุงพงศ์” ซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งเชิงแปลนิยายจีนกำลังภายใน และเป็นบุคคลที่ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปรแต่ไม่อ่อนแอ(พิเศษเฉพาะตอนนี้ ขอใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ข้าพเจ้า”เพื่อเป็นการรำลึกถึงสำนวนการเจียระไนภาษาจีนเป็นไทยของ ว. ณ เมืองลุง) เพราะนามปากกานี้ ถือว่ามีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ข้าพเจ้าหลงใหลในนิยายจีนกำลังภายใน และพาลให้พลอยชอบเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจีนเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาหารจีน หนังจีน เพลงจีน หรือน้องหมวยจีน
ส่วนที่ไม่ชอบและต้องคอยหลีกหนีให้ไกลก็เห็นจะเป็นเรื่องของ จีนเตี๊ยะ และ จีนตูบ
เมื่อหลงใหลในความเป็นจีนแล้ว การได้มีโอกาสเที่ยวเมืองจีนก็นับเป็นสิ่งที่หัวใจไขว่คว้า เพราะว่าสิบจินตนาการ ฤาจะสู้การได้สัมผัสของจริง
ครั้นมีโอกาสลัดฟ้าสู่กุ้ยหลิน ข้าพเจ้าย่อมไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะนี่คือหนึ่งในดินแดนฝันที่หัวใจร่ำร้องมาช้านาน...
“กุ้ยหลิน” แดนนี้เชื่อว่าคนไทยหลายๆคนคงจะคุ้นชื่อกันดี เพราะเมืองไทยเรานั้นมี กุ้ยหลินเมืองไทยอยู่ที่เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี
แต่ว่ากุ้ยหลิน ต้นฉบับ ที่เมืองจีนนั้นมีอะไรให้ทัศนามากกว่าการล่องเรือชมภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาอย่างในบ้านเรา โดยในอดีตแดนนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น “ซื่อไหว้เถ้าหยวน” หรือ “สวรรค์บนพื้นพิภพ” เพราะเป็นสถานที่ที่งดงามที่สุดในเมืองจีน
แต่ก็อย่างว่าฟ้าเปลี่ยน คนเปลี่ยน!?! กุ้ยหลินก็ย่อมต้องเปลี๊ยนไปตามสภาพกาลแห่งยุคดิจิตอล ที่ความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีมีมากมาย แต่ความเจริญในจิตใจถดถอย พลอยส่งให้กุ้ยหลินถูกทอนความงามลงไปไม่เหมือนเฉกเช่นในอดีต
แต่กระนั้นกุ้ยหลินก็ยังคงเป็นเมืองที่ทรงเสน่ห์ในด้านการท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของเมืองจีน เพราะเพียงแค่นั่งรถจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองกุ้ยหลิน เสน่ห์ของเมืองนี้ก็พุ่งเข้ามาเสียบหมับในดวงใจของข้าพเจ้า คล้ายดัง “มีดบิน” ของ“ลี้คิมฮวง”
ก็แหม เมืองอะไร มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาขึ้นอยู่ทั่วไป แถมภูเขาส่วนใหญ่ก็มีรูปร่างแปลกตาชวนให้จินตนาการเสียนี่กระไร
“พาน เต้าไห่” หรือ “สมุทร” (ไห่แปลว่าทะเล)ไกด์อัธยาศัยดีที่พาข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปอีกประมาณ 10 คน ท่องเมืองกุ้ยหลินบอกว่า กุ้ยหลินมีภูเขาน้อยใหญ่กว่า 27,000 ยอด
“นี่นับเฉพาะยอดที่มีถ้ำนะ ถ้าไม่มีถ้ำชาวกุ้ยหลินไม่เรียกว่ายอดเขา” สมุทรคุยแต่ไม่ได้โม้!!!
ครั้นพอรถแล่นเข้าสู่เขตเมือง ไกด์สมุทรก็พาไปสัมผัสกับความงามของ “ถ้ำขลุ่ยอ้อ” (หลูตี๋เหยียน) ที่เปิดมากว่า 40 ปี และถือเป็นถ้ำในระดับรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งพระพี่นางฯเคยเสด็จมาเยือนเมื่อเดือนพ.ย. 2546
หะแรกที่ข้าพเจ้าเห็นทางเดินเข้าถ้ำ ก็ออกดูยังงงๆอยู่ เพราะเท่าที่เห็นถ้ำมาในเมืองไทยส่วนมากต้องเดินบุกป่าฝ่าดงเข้าไป แต่กลับที่ถ้ำขลุ่ยอ้อนี่ ทางเมืองจีนเขาทำเป็นอาคารทางเข้าอย่างดี เรียกว่าแทบไม่มีเค้าธรรมชาติอยู่เลย
แต่ทว่าพอพาตัวเข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ โอ้โห!!! หินงอก หินย้อย สวยๆงามๆมีเพียบเลย
และที่น่าพิศวงก็คือเมื่อเดินฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระยับจากภายนอก พอเข้ามาภายในถ้ำอากาศกลับเปลี่ยนเป็นเย็นสบาย
“ที่ถ้ำขลุ่ยอ้อ อุณหภูมิจะคงที่อยู่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส มาหน้าร้อนก็จะเย็น มาหน้าหนาวก็จะอุ่น”สมุทรเล่าให้ฟัง
สำหรับความวิจิตรของหินงอกหินย้อยในถ้ำนั้นก็มีหลากหลายสไตล์ มีทั้งหินย้อยลงมา เป็นปุ่ม เป็นหยด มีหินย้อยเป็นแผ่น เป็นริ้ว มีหินงอกเป็นแท่งเสาหินพุ่งตระหง่านไปสู่เพดานถ้ำ
นอกจากนี้ก็ยังมีหินงอกหินย้อยที่รูปร่างแปลกตาที่ภายในถ้ำได้ตั้งชื่อไว้เป็นแนวทางชวนให้จินตนาการตาม โดยหินที่เด่นๆรูปร่างแปลกก็มี หินรูปสิงโตรับแขกตอนเดินเข้าถ้ำ หินรูปตุ๊กแก หินรูปตาแป๊ะ หินรูปมนุษย์หิมะ
แต่ที่ถือว่าโดดเด่นสุดก็คือ โถง”วังบาดาล” ซึ่งเป็นวังน้ำมีหินงอกหินย้อย ทอดเงาตกสะท้อนลงในวังน้ำ ภายใต้แสงไฟสีน้ำเงินที่ส่องประดับ เมื่อมองดูแล้ว แม้ไม่ต้องใช้จินตนาการก็คงยากที่จะปฏิเสธในความวิจิตรงดงามได้
ผ่านจากวังบาดาลไปก็ยังมีอีกหนึ่งจุดที่ไกด์มักไม่พลาดการนำเสนอ นั่นก็คือจุดหินม่านโรงละคร ที่พอถึงจุดนี้พวกไกด์สาวๆต่างพากันร้องเพลงให้ลูกทัวร์ฟังกันอย่างสนุกสนาน แต่น่าเสียดายที่ไกด์สมุทรไม่ได้ร้องให้ฟัง สงสัยแกคงรู้ตัวมั๊งว่าถึงร้องไปก็สร้างความดึงดูดใจสู้เสียงของไกด์สาวๆไม่ได้
ช่วงสุดท้ายของถ้ำขลุ่ยอ้อ ก็เหมือนดังว่าธรรมชาติจงใจสร้าง เพราะตอนเดินเข้ามาก็มีหินสิงโตนั่งรับแขก พอช่วงก่อนออกก็มีหินสิงโต(คนละตัวกัน) มานั่งคอยส่งแขกอีก แหม...เท่ซะไม่มี
พอออกจากโลกแห่งความงามในถ้ำขลุ่ยอ้อ ก็มาเจอโลกแห่งความเสียเงินที่บริเวณรอบๆถ้ำ ที่นี่มีของชวนให้เสียตังค์อยู่ทั่วไปทั้งขลุ่ยอ้อ หยกแกะสลัก ภาพวาด เสื้อผ้า โปสการ์ด ซึ่งถ้าใครจะซื้อของที่นี่หรือซื้อของทั่วไปในเมืองจีน ถ้าไม่อยากให้คนจีนว่าเป็น “เสียมตือ” ก็ต้องต่อราคาให้เกินค่อนเกินครึ่ง
จากถ้ำขลุ่ยอ้อ ไกด์สมุทรพาพวกเราทั้งหมดไปมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองกุ้ยหลิน ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยตึกราม บ้านช่องแล้ว ในตัวเมืองกุ้ยหลินก็มีขุนเขาน้อยใหญ่ขึ้นปะปนอยู่ทั่วไป โดยขุนเขาลูกไหนมีลักษณะเด่น ทางเมืองกุ้ยหลินก็ได้จัดทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว
อย่างกับเขา “เขางวงช้าง”(เซี่ยงปี๋ซาน) ที่เมื่อใช้จินตนาการมองในมุมมหาชนก็จะเห็นเป็นรูปช้างโน้มงวงลงดูดน้ำในแม่น้ำหลีเจียง (Lijiang : แม่น้ำสายสำคัญของกุ้ยหลิน)
และที่มุมมหาชนนี่ ช่วงเย็นๆของทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันจำนวนมาก มีทั้งไปถ่ายรูปคู่กับเขางวงช้าง ไปล่องเรือ-ล่องแพไม้ไผ่กินลมชมทิวทัศน์ ไปเดินทอดหุ่ยดูบรรยากาศเขางวงช้าง และอีกสารพัดแล้วแต่ใจของคนๆนั้นจะจัดให้
ยังไม่หมด...เขาในตัวเมืองกุ้ยหลินยังมีน่าสนใจอีกหลายลูก แต่ที่ไกด์สมุทรพาปิดท้ายปิดทริปของวันก็คือ “เขาสลายคลื่น” (ฝูโปซาน) เขาที่ว่ากันว่าไม่ว่าคลื่นลมโหมกระหน่ำมาเท่าใด เมื่อมาเจอเขาลูกนี้รับรองคลื่นมลายหายสิ้น
เขาลูกนี้สลายคลื่นได้ จริง-เท็จ อย่างไรข้าพเจ้ามิอาจรู้ได้ เพียงแต่รู้สึกว่าน่าจะมีเขาสลายคลื่นบ้างในเมืองไทย เพราะจะได้เอามาสลายคลื่นมือถือยี่ห้อหนึ่งในเมืองไทย ที่ ณ วันนี้กำลังหาทุกวิถีทางที่จะยึดกุมเศรษฐกิจประเทศไทย แหม...น่าเจอเข้ากับเขาสลายคลื่นสักหน่อย ไอ้คลื่นที่คุยนักคุยหนาว่าแน่ๆนี่อาจจ๋อยก็ได้...555 แต่ว่าข้าพเจ้าก็ใช่มือถือของเขาอยู่เหมือนกัน
กลับมาที่เขาสลายคลื่นกันต่อ เขาลูกนี้แม้ไม่มีมุมให้จินตนาการ แต่ว่าก็เป็นเขาลูกติดแม่น้ำหลีเจียงที่มีจุดน่าสนใจ คือ “ถ้ำคืนไข่มุก” ที่ตำนานเชื่อกันว่าเคยมีมังกรอาศัยอยู่ โดยในถ้ำนอกจากจะมีรูปแกะสลักพระพุทธรูปที่ผนังถ้ำแล้ว ตามซอกต่างๆของถ้ำก็มีแหล่งดูดเงินนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจุดๆ
ส่วนทางด้านฝั่งริมแม่น้ำของถ้ำก็มีเสาหินที่มีเรื่องเล่าว่ายอดขุนพลของจีนได้แสดงบารมีให้นักรบเวียดนามดู โดยใช้ดาบเดียวฟันฉับ!!!ที่เสาหิน
ปรากฏว่า ดาบหัก!!! เอ้ย!!! ไม่ใช่ เสาหินขาดสะบั้นในดาบเดียว และเหลือร่องรอยแห่งอดีตกลายมาเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตในปัจจุบัน
จริง-เท็จ อย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ๆ และทำให้เกิดอาการหัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออกก็คือ พวกสาวๆในชุดพื้นเมืองที่มารับจ้างถ่ายรูป ก็คืออย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าถ้าถ่ายรูปกับพวกหล่อนต้องเสียตังค์แน่นอน แต่ว่ากรณีแอบถ่ายแล้วพวกหล่อนมาเห็น ก็โดนเรียกเก็บตังค์อีกเหมือนกัน...คนอาไร้ หน้าใสใส แต่ใจด๊ำ ดำ
สำหรับข้าพเจ้าเวลาเจอคนหน้าใส ใจดำ สิ่งที่มักทำก็คือหนี!?! ซึ่งก็ถือว่าการหนีในวันนั้นเป็นการหนีที่ค่อนข้างคุ้มค่าเพราะว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้าหนีสาวหน้าใส ใจดำ ขึ้นสู่ยอดเขาฝูโบ เพื่อไปชมทิวทัศน์ของเมืองกุ้ยหลิน และชมอาทิตย์อัสดงลับเหลี่ยมเขา
ซึ่งก็ต้องขอบอกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะบนยอดเขาสลายคลื่นมองลงไปผ่านสายลมเย็นๆด้านหนึ่งเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำหลีเจียง ด้านหนึ่งเห็นตึกรามบ้านเรือนของเมืองกุ้ยหลินที่ตั้งขึ้นท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม และด้านที่เป็นไฮไลท์ก็คือด้านที่ดวงอาทิตย์กลมโตค่อยๆเคลื่อนคล้อยต่ำ ผ่านมุมมองของเมืองและขุนเขาน้อยใหญ่ที่อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัย
ดวงอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนหายลับไปในกลีบเมฆ
วิกาลเริ่มมืดมิด
จันทราครึ่งเสี้ยวส่องแสงบางๆมาแทนที่
ราตรีนี้คนไกลบ้านโดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย
เพื่อนข้างกายยามนี้มีสุรา “กุ้ยฮวย” และเงาจันทรา
คว่ำจอกแรก คารวะแด่กุ้ยหลิน
คว่ำจอกสอง คารวะแด่จันทรา
คว่ำจอกสาม คารวะ แด่ ว. ณ เมืองลุง
.....................................................
...มันยกจอกขึ้นชูให้ฟ้า แต่ไม่กล้าถามว่าจันทร์เพ็ญอยู่ที่ใดอีก?
เพราะมันทราบว่าจันทร์เพ็ญอยู่ที่ใด?
อยู่ในหัวใจมนุษย์ทุกรูปนาม ถ้าหากไปคิดถึงมัน ถ้าหากลบล้างเมฆหมอกออกไปได้
จิตใจแจ่มใส จันทร์เพ็ญย่อมกรายให้เห็นเอง
ที่ละโมบและริษยาอาฆาตนำพามาได้ มีแต่พินาศและย่อยยับ
รักเท่านั้นจึงเป็นนิรันดร
จาก”จอมดาบหิมะแดง” : “โก้วเล้ง”รจนา : “ว. ณ เมืองลุง” เจียระไน...
(ติดตามการล่องแม่น้ำหลีเจียง เที่ยวชมภูเขา ซึ่งเป็นไฮไลท์ของเมืองกุ้ยหลินได้ในตอนหน้า)
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
กุ้ยหลิน เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมณฑล “กวางสี”ในประเทศจีน มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาว“จ้วง” นามกุ้ยหลินมีที่มาจากอดีตดินแดนนี้มีป่า(หลิน)ต้น “กุ้ยฮวย”เยอะ ซึ่งคนกุ้ยหลินได้นำดอกของต้นกุ้ยฮวยมาตากแห้งอบพร้อมใบชา กลายเป็น “ชากุ้ยหลิน” ที่มีชื่อเสียง
นอกจากนี้ดอกกุ้ยฮวยยังสามารถนำไปหมักเป็นสุราร่วมกับน้ำในแม่น้ำหลีเจียงและบ่มไว้ให้รสชาติกลมกล่อม กลายเป็นสุรา “กุ้ยฮวย” ที่ขึ้นชื่อ
ส่วนของกินในเมืองกุ้ยหลินจะมี “หมี่กุ้ยหลิน” ที่เป็นเส้นกลมคล้ายเส้นสปาเก็ตตี้ กินร่วมกับพวกเครื่องปรุงอย่าง หมู-ถั่วลิสง-ไข่ต้มชา อร่อยที่เดียว โดยอาหารกุ้ยหลินจะค่อนข้างมีรสชาติคล้ายอาหารไทย
กุ้ยหลินพูดภาษาจีนกลาง เป็นภาษาหลัก ใช้เงินหยวน ซึ่ง 1 หยวน ประมาณ 5 บาทไทย(อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนส.ค.47) โดยคนไทยที่จะซื้อของในกุ้ยหลิน ถ้าไม่อยากถูกปรามาสว่าเป็น “เสียมตือ” ก็ควรต่อรองราคาลงมาเกินค่อนหรือเกินครึ่ง
ณ วันนี้ต้องถือว่าตัวเมืองกุ้ยหลินมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของจีน มีโรงแรมตั้งแต่ 2-5 ดาว มีแหล่งช็อปปิ้งทั้งกลางวัน กลางคืน และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจนอกเหนือจากในเนื้อเรื่อง คือสวนเจ็ดดาว สวนศิลปะ ยอดเขางามเด่น เจดีย์ทอง-เจดีย์เงิน การแสดงกายกรรมในยามค่ำคืน การล่องเรือกลางคืนชม 18 สะพาน 2 แม่น้ำ 4 ทะเลสาบ และชมลิฟต์ยกเรือ สวนสนุกmerryland
สำหรับการเที่ยวกุ้ยหลินสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไป หรือหากจะไปเที่ยวเองเมืองไทยมีสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรงจากกรุงเทพฯสู่กุ้ยหลินทุกวัน สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.1771 หรือ 0-2265-5555