xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าของผ้า“เกาะยอ” เรื่องราวของผู้ชายทอผ้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าผู้ชายจะจับจอบถือเสียมออกไปทำไร่ทำสวนคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าผู้ชายร่างกายบึกบึนมานั่งทอผ้า นี่สิ...คงเป็นเรื่องแปลก และคงเป็นเรื่องแปลกไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่ผู้ชายแค่คนสองคนจะทอผ้า แต่นี่คือผู้ชายเกือบจะทั้งเกาะที่สามารถทอผ้าได้...

พวกเขาคือ “ผู้ชายเกาะยอ” พวกเขาไม่ใช่ชายในร่างหญิง ไม่ใช่หญิงในร่างชาย พวกเขาคือผู้ชายแท้ๆ ร้อยเปอร์เซนต์ และพวกเขาก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ ของฮอร์โมนในร่างกาย ไม่มีความเบี่ยงเบนผิดปกติใดๆ ในจิตใจ พวกเขาคือผู้ชายธรรมดาๆ แต่ฝีมือทอผ้าไม่ได้แพ้เพศหญิงเลย

เกาะยอคือที่ไหน ? ผ้าทอเกาะยอเป็นอย่างไร ? และทำไมผู้ชายเกาะยอจึงต้องมาทอผ้า ?

“เกาะยอ” เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ในทะเลสาบสงขลา จ. สงขลา ชาวเกาะยอส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวน และทำการประมง ชาวเกาะยอมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต ตลอดจนภูมิปัญญาของท้องถิ่นที่สืบต่อกันมายาวนาน หนึ่งในนั้นก็คือ “ผ้าทอเกาะยอ” ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา จนได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอป 5 ดาว โดยเอกลักษณ์ของผ้าเกาะยอคือมีลายในเนื้อผ้าที่นูนขึ้นมา เป็นผ้าที่ทอด้วยมือ มีลายเส้นละเอียดสวยงามและมีความคงทน เนื้อผ้าดูแลรักษาง่าย มีหลายลายที่ได้รับความนิยม เช่น ลายดอกพิกุล ลายดอกพะยอม ลายรสสุคนธ์ ลายห้าหนึ่ง

ชาวเกาะยอเริ่มทอผ้าตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด แต่จากการบอกเล่าสืบต่อกันมาของผู้เฒ่าผู้แก่ได้ความว่า คงจะเริ่มทอในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา หรือช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยก่อนทอใช้กันในครัวเรือน และแจกจ่ายให้ญาติมิตร จึงทำให้ผ้าที่ทอออกมาเป็นผ้าพื้นเรียบไม่มีลวดลายอะไร

ต่อมาเมื่อไทยมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงได้รับการถ่ายทอดตกแต่งลวดลายผ้าด้วยการทอยกดอก เมื่อก่อนจะเรียกว่าลาย “ก้านแย่ง” เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้เสด็จมาประทับเมืองสงขลา และเจ้าเมืองสงขลาได้นำผ้าเกาะยอที่ชนะการประกวดขึ้นถวายเป็นที่พอพระทัย จึงได้พระราชทานนามใหม่ว่า “ลายราชวัตถ์” ซึ่งแปลว่า “ผ้าของราชา” และเป็นลายที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน

การทอผ้าจึงเป็นสิ่งที่คู่กับชาวเกาะยอมาเนิ่นนาน เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ชาวเกาะยอได้สืบสานต่อกันมา จากรุ่นสู่รุ่น จากครอบครัวสู่ครอบครัว ไม่ว่าใครผู้ใหญ่หรือเด็ก ก็สามารถจะทอผ้าได้ นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าผู้ชายเกาะยอจะทอผ้าเป็น”


“คนเกาะยอไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ทอผ้ากันเป็นหมด ทอกันมาหลายชั่วคน ปู่ย่าตายายที่บ้านก็ทอกันทุกคน ผู้ชายเกาะยอทอผ้าเป็นของธรรมดา ผมเองก็ทอเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ” นี่คำบอกเล่าของ สุวรรณ สงเคราะห์ ซึ่งยืนยันว่าภาพที่ผู้คนภายนอกเห็นผู้ชายที่เกาะยอมานั่งทอผ้านั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ สิ่งที่พวกเขาทำคือสิ่งที่บรรพบุรุษได้รังสรรค์ไว้ และพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่ได้สืบสาน

สุวรรณเริ่มทอผ้าเมื่ออายุประมาณ 18-19 ปี มีคุณย่าและคุณแม่ช่วยสอนให้ โดยเริ่มหัดจากการทอผ้า 2 ตะกอ (ลายผ้า) ซึ่งจะไม่ยากนักส่วนใหญ่เป็นผ้าขาวม้าลายง่ายๆ แล้วเริ่มฝึกฝนเพิ่มเป็น 4 เป็น 6 ตะกอ จนถึงอันที่ยากสุดคือ 8 ตะกอ และสามารถทอได้ทุกลาย เพราะทอมาก็ทุกตะกอ

เช่นเดียวกับ คณิต หนูเกี้ยว ผู้ชายเกาะยออีกคนที่ทอผ้าเป็นตั้งแต่อายุ 20 เล่าว่า “เมื่อก่อนนี้ผู้ชายเกาะยอถ้าไม่ออกประมงก็ทอผ้า ผู้ชายมานั่งทอผ้าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทำกันมานาน ครูผู้สอนก็เป็นผู้ชาย ที่บ้านก็ทอผ้ากันเกือบทุกคน ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงผู้ชายไม่มี ทั้งเรื่องลาย ความละเอียด แต่ผู้ชายจะมีแรงในการกระตุกกี่มากกว่าให้เนื้อผ้ามีความแน่นมากกว่านิดหน่อย”

พลิกฟื้น... เพื่อสืบสาน

กล่าวได้ว่าฝีมือการทอผ้านั้นฝังอยู่ในสายเลือดของชาวเกาะยอทุกคน แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ้าทอเกาะยอเกือบจะต้องสูญหาย เพราะได้เกิดช่วงจังหวะแห่งความเปลี่ยนแปลง เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้าขั้นน่าเป็นห่วง จากคนจำนวนนับพันกลับมีเหลือคนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่จะทอผ้าเป็น

วิชัย มาระเสนา ประธานกลุ่มราชวัตถ์แสงส่องหล้าที่ 1 หนึ่งในกลุ่มผลิตผ้าทอของเกาะยอ เล่าว่า ปกติแล้วชาวเกาะยอที่ทอผ้าก็มีทั้งเพื่อไว้ใช้เองและทอเพื่อจำหน่าย แต่ในช่วงปี 2538-2539 ไม่ค่อยมีการทอ คนที่ทอผ้าเป็นเหลือเพียง 50 กว่าคน

สาเหตุที่ทำให้ผ้าทอเกาะยอหายไป เพราะเกิดการลอกเลียนแบบและอ้างชื่อของผ้าทอเกาะยอ แต่คุณภาพไม่ดีเท่ากับของจริง ทำให้ผ้าทอเกาะยอเสียชื่อเสียง และขายได้ไม่ดีเหมือนในอดีต เมื่อขายผ้าไม่ได้ก็ทำให้ชาวบ้านมีรายได้น้อยลง เกิดความเบื่อหน่ายจำเจ ผ้าทอเกาะยอจึงเริ่มหดหายไปพร้อมๆ กับจำนวนคนที่ทอผ้าเป็นก็ลดน้อยลงตามไปด้วย

ในปี 2541 วิชัย จึงได้คิดรวมกลุ่มราชวัตถ์แสงส่องหล้าที่ 1 เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ผ้าเกาะยอไม่ให้หายไป พร้อมๆ กับการพัฒนาลวดลายให้สวยงามและหลายขึ้น ปี 2542 จังหวัดสงขลาได้หันมาให้ความสำคัญในการพัฒนาผ้าทอเกาะยอ จึงมีการติดต่อขอครูชาวจีนมาสอนวิธีการทอผ้าด้วยกี่กระตุก (เครื่องทอผ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน) นับจากนั้นผ้าทอเกาะยอก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับจำนวนคนทอผ้าก็เริ่มมีมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่กลุ่มราชวัตถ์แสงส่องหล้าที่ 1 เท่านั้น ยังมีกลุ่มทอผ้าอื่นๆ อีกถึง 4 กลุ่ม กระจายกันอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ของตำบลเกาะยอ

วิชัยเล่าว่า “เคยมีชาวมาเลเซีย มาขอซื้อลายผ้าทอเกาะยอ 59 ลาย ในราคาล้านกว่าบาท แต่พวกเราก็ไม่ขาย เพราะสิ่งนี้คือภูมิปัญญาของชาวเกาะยอที่ทำสืบต่อกันมานาน ประเมินค่าราคาไม่ได้ และถ้าขายลายผ้าไปชาวบ้านก็ไม่มีงานทำ”

ในตอนนี้ชาวเกาะยอ ได้พัฒนาลวดลายใหม่ๆ นอกเหนือจากลายโบราณเก่า ๆ และมีการประยุกต์ผ้าทอให้มีความหลากหลายขึ้นโดยตัดเป็นชุดเสื้อผ้าในแบบต่างๆ แต่ยังคงรักษาคุณภาพและเอกลักษณ์ของความเป็นผ้าทอเกาะยอไว้อย่างดี ซึ่งยากต่อการลอกเลียนแบบของกลุ่มคนที่ชอบแอบอ้างชื่อเสียงของผ้าทอเกาะยอ แต่ทั้งนี้ก็มีจุดให้สังเกตง่ายๆว่าถ้าเป็นผ้าทอเกาะยอนั้นที่เส้นขอบทั้ง 2 ของผืนผ้าจะต้องมีเส้นด้ายสีส้ม นั่นจึงจะเป็นของแท้

สิ่งที่ชาวเกาะยอได้ร่วมกันฟื้นฟูผ้าทอให้กลับคืนมาเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนอีกครั้ง ไม่เพียงจะเป็นการสืบสานและอนุรักษ์มรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษให้ดำรงอยู่ต่อไป แต่ยังหมายถึงอาชีพและรายได้ที่ทำให้ชาวเกาะยอ ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานและครอบครัวไปทำงานที่อื่นไกลๆ ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอื่นๆ ตามมาด้วย

สุวรรณ และ คณิต เองก็เป็นสมาชิกกลุ่มราชวัตถ์แสงส่องหล้าที่ 1 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สุวรรณไปทำงานโรงงาน แต่ในใจยังนึกถึงการทอผ้าอยู่ตลอด เมื่อมีการส่งเสริมให้ชาวเกาะยอหันมาทอผ้าอย่างจริงจัง สุวรรณจึงไม่ลังเลที่จะกลับมารื้อฟื้นฝีมือทอผ้าอีกครั้ง แม้รายได้อาจจะน้อยกว่าที่เคยได้รับจากโรงงาน แต่ไม่มีรายจ่ายของค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหารให้วุ่นวาย เพราะที่ทำงานก็คือบ้านของเขาเอง นั่นทำให้เขามีความสุขและพึงพอใจมากกว่า ในวัย 41 ของสุวรรณ ตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จะยึดการทอผ้าเป็นอาชีพ เช่นเดียวกับแม่และน้องสาวของเขา

ส่วน คณิต ก็เลือกที่จะยึดการทอผ้าเป็นอาชีพแทนการทำประมง ด้วยเหตุผลเรื่องความสบายใจที่ได้ทำงานที่บ้าน มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น เพราะแฟนของคณิตก็ทอผ้าเช่นเดียวกัน “ถ้าไปทำอาชีพอื่น ที่อื่น ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ทำงานที่บ้านก็มีรายได้พอๆ กัน อยู่บ้านเราดีกว่า สะดวกกว่า สบายใจกว่า”

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การเดินทางไปเกาะยอ จากหาดใหญ่ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 407 สู่ทางหลวงหมายเลข 4146 ข้ามสะพานติณสูลานนท์ซึ่งเป็นสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเชื่อมต่อระหว่างเกาะยอกับผืนดินใหญ่

เกาะยอยังมีวิถีชีวิตชาวบ้านที่น่าสนใจ เช่น การชมสวนสมรม ซึ่งเป็นการทำเกษตรแบบชาวใต้ดั้งเดิมคือการปลูกไม้ผลนานาชนิดในสวนเดียวกันซึ่งเน้นเกษตรธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี
การนั่งเรือชมวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน โดยการนั่งเรือหางยาวชมธรรมชาติรอบเกาะยอและชมการใช้เครื่องมือพื้นบ้าน เช่น ไซนั่ง ไซนอน ดักจับสัตว์น้ำ โดยมีวิทยากรที่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านคอยแนะนำให้ความรู้
นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น วัดท้ายยอ สถาบันทักษิณคดีศึกษา สะพานติณสูลานนท์ ตลาดเกาะยอ เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น