“นี่เอ็งจะไปเมืองลับแลจริงๆนะรึ-จะไปทำไม-อย่าไปเลย-ไปแล้วไม่ได้กลับออกมานะ”
ในอดีตหากใครบอกว่าจะเดินทางเมืองลับแล นอกจากถูกระดมยิงคำถามเข้าใส่แบบรัวเป็นปืนกลแล้ว คำพูดที่ตามมาส่วนมากก็จะเป็นคำทัดทานว่า “อย่าไปเลยเมืองลับแล ถ้าไม่หลงป่าตาย เข้าไปแล้วก็ไม่ได้ออกมาแน่นอน”
โอ้ว!!! พระเจ้าจอร์จ ทำไมเมืองลับแลในอดีตมันช่างดูน่ากลัวและดูลึกลับเสี่ยนี่กระไร
เรื่องนี้ต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน เพราะถ้าไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้ ฉันใดก็ฉันเพล ที่หากเมืองลับแลไม่มีตำนานแห่งความลึกลับ ก็คงไม่เป็นที่ครั่นคร้ามของผู้คน และคงไม่ได้ชื่อว่า “เมืองลับแล” แน่นอน
เมืองลับแล-เมืองแม่ม่าย เมืองที่กลายมาเป็นเมืองเดียวกัน
สำหรับตำนานของเมืองลับแลนั้นถ้าจะให้เล่ากันแบบละเอียดถี่ถ้วน อาจจะเล่ากัน 3 วัน 3 คืนไม่จบ(เพราะคนที่เล่า เล่าแค่ชั่วโมงเดียวก็คงง่วงหลับเสียแล้ว) เนื่องจากมีอยู่หลายตำนาน หลายเวอร์ชั่น แต่ถ้าเป็นตำนานที่คนยอมรับกันมากที่สุด และเป็นตำนานที่ถูกนำไปสร้างเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองลับแลที่ซุ้มประตูทางเข้าอำเภอก็คือ ตำนานเมืองลับแลหรือตำนานเมืองแม่ม่าย ที่ทั้ง 2 ตำนานล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกัน
ซึ่งหากใครผ่านเข้าออกอำเภอลับแล ก็จะเห็นซุ้มประตูที่ด้านขวามือ(จากขาเข้า) มีรูปปั้นหญิงอุ้มลูกและผู้ชายคุกเข่า พร้อมทั้งเขียนข้อความไว้ว่า
“ขอเพียงสัจจะวาจา
แม่ม่ายเมืองลับแล
หญิงที่ควรยกย่อง เชิดชูยึดมั่นในคุณความดี
ยอมเสียสละความรักเพื่อธำรงจารีตประเพณี
ของการรักษาวาจาสัตย์ไว้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติ
ของชาวเมืองลับแล ทุกคน”
อันที่มาที่ไปของเมืองลับแลหรือเมืองแม่ม่ายนั้นก็มีอยู่ว่า ในอดีตคนเมืองลับแลนั้นถือเรื่องสัจจะวาจาเป็นที่สุด ใครที่ไม่มีความสัตย์นั้นถือว่าจะอยู่ร่วมกับคนลับแลไม่ได้ ในตอนนั้นมีชายหนุ่มเป็นคนอำเภอทุ่งยั้ง ในอุตรดิตถ์นี่เอง ได้หลงเข้าไปในเมืองลับแล และพบรักกับหญิงชาวลับแลผู้หนึ่ง ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา และมีบุตรด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งหญิงลับแลนั้นก็ออกไปหาผักหาปลาตามปกติ ทิ้งให้ฝ่ายสามีดูแลลูกอยู่ที่บ้านตามลำพัง แต่วันนั้นลูกน้อยเอาแต่ร้องไห้โยเย พ่อทั้งปลอบทั้งขู่อย่างไรก็ไม่หยุดร้อง จึงโกหกลูกไปว่า “หยุดร้องเสียเถิด แม่มานั่นแล้ว” ทั้งที่ความจริงแม่ยังไม่กลับ
ฝ่ายภรรยาก็เข้ามาทันได้ยินคำโกหกของสามีพอดี ก็รู้ว่าอยู่ร่วมกันไม่ได้เสียแล้ว จึงขอให้สามีออกไปจากเมืองลับแลเสีย ยอมให้ตนเองกลายเป็นแม่ม่าย โดยมอบของให้สามีถุงหนึ่งและสั่งว่า ห้ามเปิดจนกว่าจะออกไปพ้นเมืองลับแล เมื่อฝ่ายชายเดินทางออกไป ก็รู้สึกว่าถุงนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดความสงสัย และตัดสินใจเปิดถุงออกดู ก็เห็นว่าเป็นเพียงขมิ้นเท่านั้นเอง จึงได้ทิ้งไปบ้าง และเก็บเอาไว้เองเพียงไม่กี่อัน เมื่อกลับมาถึงบ้านของตนก็ได้เปิดถุงนั้นดูอีกที ปรากฏว่าขมิ้นนั้นได้กลายเป็นทองไปทั้งหมด
ลับแลเมืองแห่งผลไม้
นอกเหนือจากตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานแล้ว เมืองลับแลยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็นเมืองแม่ม่ายอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ จากอดีตจนถึงปัจจุบันชาวเมืองลับแลส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการทำสวนกันเกือบทั่วสภาพพื้นที่ โดยฝ่ายชายก็ต้องเดินทางเข้าไปทำสวนอยู่ในป่า ทางด้านฝ่ายหญิงก็ต้องอยู่ดูแลบ้าน เมื่อคนภายนอกผ่านมาก็มักจะเห็นว่าเมืองนี้มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น จนเอาไปพูดกันว่าที่นี่เป็นเมืองแม่ม่าย
เรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไร ก็ยังไม่มีใครตอบได้ แต่หากดูจากสภาพภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชาวเมืองลับแลแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าตำนานนี้ไม่ได้เอ่ยอ้างมาลอยๆ แต่กับมีเค้าความจริงอยู่ไม่น้อย เพราะว่าวิถีชีวิตของชาวลับแลส่วนใหญ่จะทำสวนผลไม้ ซึ่งวิธีการทำสวนของชาวลับแลก็ถือว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
หนึ่งนั้นชาวเมืองลับแลสามารถทำสวนได้ทั้งในที่ราบ และตามไหล่เขา นอกจากนี้ก็ยังทำสวนไว้ในบริเวณบ้านเรือนอีกต่างหาก
สองชาวเมืองลับแลจะปลูกต้นไม้ผล ควบคู่ไปกับต้นไม้ใหญ่ในป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยให้ไม้ผล และไม้ป่า ต่างพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งก็นับว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าสนใจไม่น้อย
“คนเมืองลับแลปลูกผลไม้มาเป็นร้อยปี และก็มีวิธีการปลูกที่ไม่เหมือนใคร คือจะปลูกผลไม้ ร่วมกับต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะต้นสะพุงซึ่งสามารถอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี และคนลับแลก็จะปลูกผลไม้กันตามสภาพภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเชิงเขา ที่ราบ บนเขา คนลับแลสามารถปลูกได้ เคยมีทางราชการใช้เฮลิคอปเตอร์มาบินเหนือเมืองลับแล แล้วบอกว่า ที่นี่มีป่าที่สมบูรณ์บูรณ์มาก แต่ความจริงเป็นพวกต้นผลไม้ที่ปลูกกันมาช้านานในพื้นที่ทั้งนั้น โดย 80 % ของพื้นที่ ที่ดูเป็นป่าเป็นสวนผลไม้ และอีก 20 % เป็นต้นไม้ใหญ่ ” เทพ คำคุ้ม แกนนำคนสำคัญของศูนย์ท่องเที่ยวเกษตร อ.ลับแล เล่าให้ฟัง
และเมื่อพูดถึงผลไม้ในเมืองลับแลแล้วก็ต้องยอมรับกันว่าที่เมืองนี้สามารถปลูกผลไม้ได้ผลผลิตและรสชาติดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มังคุด ลางสาด ลองกอง โดยดาวเด่นของผลไม้แห่งเมืองลับแล ก็เห็นจะหนีไม่พ้น ทุเรียนพันธุ์ หลงลับแล และหลินลับแล ซึ่งเป็นทุเรียนที่มีผลเล็ก มีรสชาติดี กลิ่นไม่แรง แต่ว่าหาซื้อยาก และมีราคาสูง
นอกจากนี้ชาวสวนลับแลยังได้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านโดยไม่พึ่งพาภูมิปัญญา GMO ทดลองผสมผสานผลไม้ 2 ชนิด เกิดเป็นผลไม้ชื่อ “ลางกอง”ขึ้นมา
“ชาวสวนที่นี่ทดลองผสมระหว่างลางสาด กับลองกอง เกิดเป็น"ลางกอง” ที่มีลักษณะเหมือนผลไม้ทั้ง 2 และรสชาติก็เป็นการนำจุดเด่นของลางสาด – ลองกองมาผสมกัน คือไม่หวานทั้งลูกเหมือนลองกอง และก็ไม่เปรี้ยวเหมือนลางสาด เรียกว่าเปรี้ยวหวานกำลังดี”เทพ อธิบาย
ด้วยความที่เมืองลับแลโดดเด่นเรื่องผลไม้ ชาวเมืองลับแลส่วนหนึ่งจึงได้จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรขึ้นมา โดยต้องการสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน ซึ่งกิจกรรมท่องเที่ยวก็จะเป็นการนำชมและสัมผัสกับสวนผลไม้ที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละช่วงแต่ละฤดูกาลที่เมืองลับแลต่างก็มีผลไม้เด่นๆต่างกันออกไป
ตั้งไข่โฮมสเตย์ สร้างจุดขายใหม่ให้ท่องเที่ยวเมืองลับแล
นอกจากการท่องเที่ยวเชิงเกษตรแล้ว ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็ได้ทดลองเปิดการท่องเที่ยวในรูปแบบพักค้างแรมกับชาวบ้าน หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า “โฮมสเตย์” (Home Stay) ขึ้น โดยจุดประสงค์ก็เพื่อต้องการสร้างจุดขายใหม่ให้เมืองลับแล และสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
“พอที่ลับแลเปิดท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้ไม่นาน พวกเราคิดว่าน่าจะลองทำโฮมสเตย์ดู เพราะชาวบ้านที่นี่มีอัธยาศัยไมตรีดี มีน้ำใจ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และมีวิถีชีวิตการทำสวนที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ ซึ่งน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว เมื่อรวมกลุ่มกันได้ ผมก็ไปดูงานตามสถานที่ท่องเที่ยวโฮมสเตย์ต่างๆ จากนั้นก็มาคัดเลือกบ้านที่มีความเหมาะสมจัดเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ขึ้น”
เทพ เล่าถึงความพยายามในการตั้งไข่โฮมสเตย์ขึ้นที่เมืองลับแล โดยบอกว่าเป็นโฮมสเตย์ที่เมืองลับแล เป็นการลองผิดลองถูกของชาวบ้านล้วนๆ ยังไม่มีภาครัฐเข้ามาช่วยแนะนำ แต่ว่าชาวบ้านที่นี่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยตอนนี้ได้คัดบ้านที่จะจัดโฮมสเตย์ไว้ 7 บ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้ทั้งหมด และบางบ้านก็เก่าแก่ ปลูกอยู่ท่ามกลางสวนที่ร่มรื่น
“ตอนที่พี่เทพมาติดต่อขอบ้านจะทำโฮมสเตย์ ก็ยังไม่รู้ว่าโฮมสเตย์เป็นอย่างไร แต่พี่เทพเขาบอกว่าก็ไม่มีอะไรมาก ใช้ชีวิตเหมือนปกติ กินอะไรก็กินเหมือนเดิม แต่ว่าต้องดูแลบ้านเรือน ห้องน้ำให้สะอาด ส่วนคนที่มาพักก็คิดเสมือนว่าเขาเป็นเพื่อนเป็นญาติพี่น้องเข้ามาพัก” อรนรินทร์ เปี้ยวงศ์ หรือ “ศรี” หนึ่งในสมาชิกโฮมเสตย์ เล่าให้ฟัง
ด้านต๋อย เปี้ยวงศ์ ผู้เป็นสามีของศรีก็ได้กล่าวเสริมว่า ที่ทำโฮมสเตย์ ณ วันนี้ก็ยังไม่ค่อยรู้อะไร รู้แต่ว่ายินดีที่คนมาเที่ยวเมืองลับแล ซึ่งเมื่อใครเข้ามาก็จะดูแล อย่างเต็มความสามารถและอยากให้ผู้ที่มาพักได้ความประทับใจกลับไป โดยไม่ได้สนใจว่าจะต้องได้ค่าพักแรม หรือค่าอาหาร แค่มีคนมาเที่ยวที่บ้านก็รู้สึกดีใจแล้ว
ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าเมืองลับแลที่ในอดีตดูลึกลับน่าครั่นคร้าม ณ วันนี้ถือเป็นเมืองแห่งผลไม้ที่หลากหลาย เมืองที่เรียบง่าย และโดดเด่นไปด้วยเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวบ้านที่ทำสวนมานับร้อยปี เมื่อมาจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและโฮมสเตย์จะช่วยให้คนรู้จักเมืองลับแล ในฐานะเมืองที่น่าแลเพิ่มมากขึ้น
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อำเภอลับแล อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์เพียง 9 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 อีก 6 กิโลเมตร
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ใน อ.ลับแล
น้ำตกแม่พูล อยู่ที่หมู่ 4 บ้านต้นเกลือ ตำบลแม่พูล เป็นน้ำตกที่เกิดจากการตกแต่งธารน้ำ โดยการเทปูนให้น้ำไหลลดหลั่นจากบนเขาสูงลงมา ดูคล้ายน้ำตกธรรมชาติ บริเวณโดยรอบน้ำตกเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ดูร่มรื่นเย็นสบาย ด้านบนของน้ำตกขึ้นบันไดไปประมาณ 200 เมตร จะมีสำนักสงฆ์ ซึ่งสามารถเดินขึ้นไปชม และเดินกลับลงมาอีกด้านหนึ่งของน้ำตกได้
วัดพระแท่นศิลาอาสน์ ตั้งอยู่บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระแท่นศิลาอาสน์เป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานของพระแท่นโดยรอบประดับด้วยลายกลีบบัว มีตำนานว่าพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เคยเสด็จมาจำศีลบำเพ็ญพุทธบารมี ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาจึงมีการสร้างพระแท่นศิลาอาสน์ขึ้น บานประตูวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ที่เป็นไม้สักแกะสลักนั้น เดิมเคยเป็นบานประตูวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลกมาก่อน
นอกจากนั้นภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์ที่เดิมเป็นศาลาการเปรียญ สร้างด้วยไม้ มี 2 ชั้น ชั้นล่าง เป็นที่แสดงเครื่องมือจับสัตว์น้ำโบราณ เรือพายโบราณ ชั้นบน แสดงเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตชาววัง - ชาวบ้านสมัยก่อน เครื่องจักสาน เครื่องมือตีเหล็ก - ก่อสร้าง เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย ธรรมาสน์โบราณฝีมือช่างสมัยอยุธยา พระพุทธรูปที่แกะจากต้นโพธิ์โบราณ และพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวเหนือ พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
วัดม่อนปรางค์ ซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยสุโขทัยต่อต้นสมัยอยุธยา นอกจากความเก่าแก่ของวัดแล้ว ที่นี่ก็ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ พระพุทธรูปที่วัดแห่งนี้ เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชของจังหวัดพิษณุโลก แต่เดิมชื่อของพระองค์นี้คือพระทองเหลือ แต่ต่อมาเรียกเพียงสั้นๆ ว่าพระเหลือ
นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เมืองลับแลก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอย่างเช่น วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง วัดพระยืนพุทธบาทยุคล อนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ
อาหารการกินเมืองลับแล
ข้าวแคบ เป็นข้าวเกรียบพื้นเมืองของกินยอดนิยมที่ทำจากแผ่นแป้ง ดูผ่านๆคล้ายแผ่นพลาสติก แผ่นสีขาว บางใส มีรสเค็ม ทั้งแบบหนาและบาง
ข้าวพัน เป็นการนำข้าวแคบมานึ่งบนผ้าขาวบาง คล้ายทำข้าวเกรียบปากหม้อ พอสุกนำมาพันกับด้ามพัดหรือแผ่นไม้ไผ่ เอาไว้กินเล่นเปล่าหรือเหยาะซอสพริก
ข้าวพันผัก นำข้าวแคบมานึ่งเหมือนข้าวพัน วางผักสดและ เครื่องปรุงรสต่างๆตามใจชอบ เสร็จแล้วม้วนเหมือนก๋วยเตี๋ยวหลอด มีทั้งใส่ไข่และไม่ใส่ไข่ เสร็จแล้วจะกินเปล่าๆหรือกินกับซอสพริกก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
หมี่พัน นำแผ่นข้าวแคบ มาห่อด้วยเส้นหมี่ลวก คลุกเคล้าเครื่องปรุงรส ถั่วงอก แคบหมู น้ำปลา น้ำตาล มะนาวพริกป่น และเครื่องปรุงอื่นๆตามใจชอบ เสร็จแล้วส่งหมี่พันเข้าปากอร่อยแปลกไปอีกแบบ
ลอดช่องเค็ม หน้าตาเหมือนลอดช่องไทยที่กินกับน้ำกะทิ มีการใส่ปลาป่น กุ้งแห้งป่น ถั่วงอก เวลากินปรุงรส เหยาะน้ำปลา บีบมะนาว โรยผักชี พริกป่น ตามใจชอบกินเป็นอาหารว่างหรืออาหารคาวก็ได้
สินค้าพื้นเมืองลับแล
ลางสาด-ลองกอง-มังคุด-ทุเรียน นับเป็นผลไม้ที่เมื่อไปยังเมืองลับแลแล้ว หากไปถูกช่วงจังหวะเวลา ผลไม้เหล่านับเป็นผลไม้เลื่องชื่อของเมืองลับแลที่น่าสนใจ ใครไปแล้วไม่น่าพลาดที่จะลองลิ้มชิมรสหรือซื้อหาติดมือเป็นเป็นของฝากของที่ระลึก โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หลงลับแล และหลินลับแล ที่ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดทุเรียนของเมืองไทย
ไม้กวาดตองกง เป็นไม้กวาดที่นำดอกของต้น "ตองกง" มาประดิษฐ์เป็นไม้กวาด จัดเป็นไม้กวาดที่มีชื่อเสียงในความประณีตคงทนและมีจำหน่ายไปทั่วทุกภูมิภาค
ซิ่นตีนจก มีการทอในหลายลวดลาย ตัวซิ่นเป็นลายมุก มีซิ่นไกร เป็นการทอด้วยด้ายสีเขียวปนกับด้ายสีดำ ทำให้เกิดการเลื่อมดูคล้ายผ้าหางกระรอก ซิ่นซิว คือผ้าซิ่นที่มีสีเขียวและการต่อหัวซิ่นยังคงใช้ผ้าขาว-แดง เหมือนในอดีต
สอบถามกิจกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางสู่เมืองลับแลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.ภาคเหนือเขต 3 หรือที่ ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวเกษตร อำเภอลับแล โทร. 0-5543-1040
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
“หลง-หลินลับแล” อันซีนทุเรียนแห่งเมืองลับแล