xs
xsm
sm
md
lg

ทำบุญเข้าพรรษา ชมสถาปัตย์ วัดเบญจมฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทุกวันนี้ชีวิตผู้คนในสังคมเมืองกรุง มักจะอยู่กันด้วยความรีบเร่งวุ่นวาย จนอาจเป็นเหตุให้หลายคนได้หยิบยกมาใช้ เมื่อจะเลี่ยงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่า “ไม่มีความสำคัญ” หรือ “สำคัญน้อย” จึงจะทำก็ต่อเมื่อ “มีเวลา” จริงๆ

การเข้าวัดทำบุญก็เช่นกัน ที่คนห่างวัด (ไม่นับรวมคนห่างพระ ห่างศาสนา ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้น) มักจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” ทั้งที่จริงแล้ว การเข้าวัดทำบุญนั้นไม่จำกัดด้วยเรื่องเวลาและสถานที่ ดังนั้น ในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่ใกล้จะมาถึง เป็นวันหยุดยาวหลายวันที่คงไม่ต้องรีบเร่งทำงานและวุ่นวายแข่งขันกับใคร จึงอยากจะชวนล่วงหน้าให้ “สละเวลา” หาโอกาสทำบุญที่วัดกันบ้าง

โดยวัดที่จะพาไปวันนี้ คือ“วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวัดที่มีความวิจิตรงดงาม จนมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า

วัดเบญจมบพิตรรังสฤษฏ์แล้ว ดั่งเวียงแก้วลอยลิบทิพย์สวรรค์
บรรเจิดศิลป์บรรจงจัดอัศจรรย์ ประหนึ่งเทพรังสรรค์วิมานแมน


เข้าวัดทำบุญ ไม่จำกัดด้วยเวลา

ในตอนเช้าๆ ประมาณ 06-07 .00 น. ด้านหน้าวัดเบญจมฯ จะเห็นผู้คนจำนวนหนึ่งมายืนรอตักบาตรพระเป็นแถวแนวยาว ซึ่งส่วนใหญ่คือคนที่อยู่ใกล้ๆ กับวัด แต่ก็มีบ้างบางส่วนที่แม้จะอยู่ไกล แต่ก็ยังตั้งใจมาร่วมทำบุญและถือโอกาสเที่ยวชมความงามของวัดด้วย ดังนั้นถ้าเป็นคนตื่นเช้าและผ่านไปผ่านมาใกล้ๆวัด ก็น่าจะหาโอกาสร่วมทำบุญใส่บาตรแม้สักครั้งก็ยังดี

แต่ถ้าด้วยประการทั้งปวงว่ายังหาโอกาสไม่ได้ ในวันอาสาฬหบูชาที่จะมาถึงจึงน่าจะตั้งใจให้วันนี้เป็นวันดีที่จะได้เข้าวัดทำบุญบำรุงพระศาสนา และร่วมเวียนเทียน ซึ่งในหนึ่งปีจะได้เวียนเทียนกันก็เฉพาะในวันสำคัญทางพุทธศาสนา 3 วันเท่านั้น คือ มาฆบูชา วิสาขบูชา และ อาสาฬหบูชา ซึ่งจริงๆ แล้วการเวียนเทียนนั้นก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเฉพาะช่วงเย็นหรือช่วงค่ำเท่านั้น เพียงในวันนั้นจะไปถึงวัดเวลาไหน จะเช้า สาย บ่าย เย็น ก็สามารถเวียนเทียนรอบพระอุโบสถเพื่อระลึกถึงพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แต่หากอยากจะร่วมทำบุญให้ครบก็สามารถร่วมกิจกรรมได้ โดยที่วัดเบญจมฯ จะมีพิธีในช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. โดยหลังจากที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์แล้วจะเป็นพิธีเวียนเทียน และมีพระธรรมเทศนา โดยผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ถือเป็นวันดีที่จะได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์และได้รับศีลรับพรเป็นมงคลแก่ชีวิต

ยิ่งในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันเข้าพรรษา จะเห็นมีหมู่คณะต่างๆ มาถวายเทียนพรรษา และร่วมพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ถ้าใครอยากจะร่วมทำบุญนี้ก็สามารถจะร่วมถวายที่วัดได้ พอถึงเทศกาลเข้าพรรษาก็เป็นจังหวะดีที่จะได้ร่วมประพฤติดีปฏิบัติชอบ เข้าวัดทำบุญสมกับเป็นพุทธศาสนิกชนเสียบ้าง และเมื่อมีจังหวะเข้าวัดแล้วก็ควรจะหาโอกาสเที่ยวชมความวิจิตรงดงามภายในวัดอย่าง “เพ่งพิศ” ไม่ใช่แค่เพียง “เพ่งผ่าน” เพื่อการเข้าวัดครั้งนี้ จะได้อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งใจ และอิ่มทั้งความรู้ ควบคู่กันด้วย

ภายใต้ความงามยังมีความรู้ซ่อนอยู่

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสถาปนาขึ้น ความสวยงามโดดเด่นเห็นจะไม่พ้นพระอุโบสถ จนนักท่องเที่ยวขนานนามว่า "The Marble Temple" เพราะมีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยเป็นวัดเดียวในประเทศที่ประดับด้วยหินอ่อน ผสานกับลวดลายศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ ทั้งยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจโดยที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน

มีหลายสิ่งพิเศษที่มารวมอยู่ในวัดเบญจมฯ แห่งนี้ เช่น หินอ่อนที่นำมาสร้างพระอุโบสถนั้น นับว่าเป็นหินอ่อนชั้นดีจากประเทศอิตาลี ซึ่งสั่งเข้ามาพร้อมกันกับหินอ่อนที่สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ส่วนศิลปะต่าง ๆ ภายในวัดก็ล้วนแต่เป็นฝีพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าสถาปนิกหลายพระองค์ โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งวงการช่างสยามในสมัยนั้นถวายพระสมัญญาว่า "นายช่างใหญ่" ทรงเป็นสถาปนิก ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างวัดอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง

ส่วนภายในพระอุโบสถ ก็จะเห็นพระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งเล่ากันว่า รัชกาลที่ 5 มีพระประสงค์ที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์จริงจากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐานไว้ แต่ชาวเมืองได้ทูลทัดทานไว้เพราะเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพิษณุโลก พระองค์จึงทรงหล่อพระพุทธรูปขึ้นใหม่ และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ทรงปีติโสมนัสอย่างยิ่ง จึง "ทรงเปลื้องสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งกำลังทรงอยู่นั้น ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชา" ซึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ทางวัดได้เก็บรักษาไว้อย่างดี และจะอัญเชิญมาคล้องถวายที่พระหัตถ์พระพุทธชินราช ในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ทุกปี

บนผนังภายในพระอุโบสถ มีลายจิตรกรรมฝาผนังรูปลายเทพพนม ซึ่งต่างกับวัดอื่นที่มักจะเป็นรูปพุทธประวัติ ส่วนที่ช่องคูหาทั้ง 8 เขียนภาพสถูปเจดีย์ที่สำคัญของทุกภาค จัดเป็น "จอมเจดีย์" ในประเทศไทยคือ พระมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี, พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม, พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช, พระเจดีย์ชัยมงคล จังหวัดนครศรีอยุธยา, พระมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย, พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม, พระมหาธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน และ พระศรีรัตนธาตุ จังหวัดสุโขทัย โดยจะมีคำบรรยายสั้นๆ ของเจดีย์แต่ละแห่งว่ามีความสำคัญอย่างไร เช่น พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับเป็นเจ้าภาพ ก็นับว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างเมื่อพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์แรกมาถึงเมืองไทย

วัดเบญจมฯ ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางพุทธศิลป์แห่งหนึ่ง นอกจากสถาปัตยกรรมอันสวยงามวิจิตรประณีตของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ แล้วที่พระระเบียง ด้านหลังพระอุโบสถ ยังเป็นที่เก็บรวบรวมพระพุทธรูปซึ่งอยู่ในอิริยาบถนั่งและยืนสลับกัน ในปางต่างๆ ถึง 11 ปาง มีขนาดและสมัยต่าง ๆ รวม 52 องค์ โดยเป็นพระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์มีทั้งพระพุทธรูปโบราณ และหล่อขยายหรือย่อส่วนจากพระพุทธรูปโบราณ โดยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระองค์เจ้า ดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงเสาะหามาทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมือง ตลอดจนถึงต่างประเทศ เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น พม่า ลังกา

เราจึงจะได้เห็นว่า พระยืนแบบอินเดียและพระยืนแบบญี่ปุ่นนั้นต่างกันอย่างไร หรือพระยืนปางห้ามญาติ (มิให้รบกัน) นั้นลักษณะเป็นเช่นไร นับว่าเป็นแหล่งศึกษาศิลปะโบราณคดีด้านพุทธศิลป์ได้เป็นอย่างดี มีพระพุทธรูป 2 องค์ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ พระพุทธรูปปาง "ทุกรกิริยา" (ลำดับที่ 7) เป็นพุทธจริยาตอนที่พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา จนพระวรกายซูบผอม แสดงถึงจินตนาการและสุนทรีย์ทางศิลปะอย่างเอกของช่าง อีกองค์คือพระพุทธรูป "ปางลีลา" (ลำดับที่ 26) เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะลีลางามเป็นเลิศ จนศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเขียนไว้ในหนังสือศิลปะในประเทศไทยว่า "งดงามไม่แพ้ประติมากรรมชิ้นเอกอื่น ๆ ในโลก"

ทั้งหมดที่ผ่านตา ถ้ามองเพียงผ่านๆ ก็จะเห็นเป็นแค่วัตถุ หรือรู้สึกแค่ว่างดงาม แต่หากได้หยุดเพ่งพินิจและศึกษา ก็จะทำให้ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายอย่าง แม้ว่าอาจจะไม่ลึกซึ้งแต่ก็เป็นสิ่งที่คนไทย โดยเฉพาะชาวพุทธควรที่จะรับรู้ไว้บ้าง

ด้านนอกพระอุโบสถยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ “พระที่นั่งทรงผนวช” ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้รื้อพระที่นั่งทรงผนวชองค์เดิมจากพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิลาลัย ในพระบรมมหาราชวังออกมาปลูกที่วัดเบญจฯ ภายในพระที่นั่งทรงผนวช จัดได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ ร.5 อีกแห่ง เพราะมีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย เครื่องลายครามต่าง ๆ และยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงพระจริยาวัตรและพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวม 20 ตอน อยากให้สังเกตตอนที่ 19 “สังหารกุมภา” แล้วจะได้ความรู้อีกอย่างเพิ่มขึ้นว่า ครั้งหนึ่ง ร. 5 เคยเสด็จปราบจระเข้ยักษ์ที่แม่น้ำบางปะกงมาแล้ว โดยพระที่นั่งฯ แห่งนี้ จะเปิดให้เข้าชมก็เฉพาะวันที่ 23 ตุลาคมเท่านั้น แต่ถ้าหมู่คณะใดสนใจอยากชมเป็นพิเศษ ก็สามารถทำหนังสือขอเข้าชมพระที่นั่งฯ นี้ได้

ใกล้ๆ กับพระที่นั่งทรงผนวช คือ “ศาลาสี่สมเด็จ” ซึ่งใช้เป็นหอกลอง มีอยู่กลองหนึ่งที่ยาวและใหญ่กว่ากลองยาวธรรมดา ยาวถึง 5.32 เมตรทำด้วยไม้ประดู่ทั้งท่อน เป็นของมีประจำทางภาคเหนือเรียกว่า "กองอืด" บ้าง "กลองหลวง" บ้าง ใช้ตีในงานทำบุญตามประเพณีบ้าง ตีแข่งขันประกวดเสียงกันบ้าง ตีประกอบการฟ้อนรำพื้นเมืองบ้าง ซึ่งถึงขณะนี้กลองนี้ก็ยังใช้การได้ดีอยู่ เดินข้ามสะพานเหล็กหล่อลายไทยสีแดงสด ไปที่สนามหญ้าด้านหลังพระอุโบสถ จะเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 หน่อที่ได้มาจากเมืองพุทธคยา ผ่านมาร้อยกว่าปีต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นนี้ก็สูงตระหง่านแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาและความร่มรื่นเป็นอย่างดี

ภายในพื้นที่รอบๆ บริเวณวัดยังมีอีกหลายที่หลายอย่างที่น่าดูน่าชม โดยไม่ต้องห่วงว่าการเดินชมวัดนั้นจะไปรบกวนพระภิกษุสามเณร เพราะวัดเบญจมฯ นั้นมีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง โดยได้แยกสัดส่วนเป็นเขตพุทธาวาส สังฆาวาส และที่ธรณีสงฆ์สำหรับผู้อุปัฏฐากภิกษุสามเณรอยู่อาศัย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่เข้าไปวัดก็สมควรยังต้องสำรวมอยู่ดี เพื่อให้เกียรติและแสดงความเคารพต่อสถานที่

ในวันที่ได้เข้าวัดทำบุญ และถือโอกาสพักผ่อนด้วยการเยี่ยมชมความงามของสถาปัตยกรรม จึงนับเป็นการ “ให้เวลา” กับตัวเองที่ดีที่สุด และไม่อยากให้อ้างว่า “ไม่มีเวลา” เมื่อจะเข้าวัดในครั้งต่อๆไป

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *   

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดเก่าแก่เล็กๆ ชื่อว่า “วัดแหลม” เพราะตั้งอยู่ปลายแหลมของที่สวนติดกับทุ่งนา และยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “วัดไทรทอง” เนื่องจากมีต้นไทรทองปรากฏอยู่ให้เห็น เมื่อปี พ.ศ. 2170 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ได้ทรงตั้งกองทัพรับขบถเจ้าอนุวงศ์ที่วัดนี้ หลังจากเสร็จจากการปราบขบถแล้ว ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัด พร้อมกับสร้างพระเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ 5 องค์ เรียงรายอยู่หน้าวัดด้วย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดเบญจมบพิตร” หมายถึง วัดของเจ้านาย 5 พระองค์
เมื่อปี พ.ศ. 2442 รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างสวนดุสิต และพระราชวังดุสิต กินเนื้อที่ของวัด ทำให้วัดมีพื้นที่น้อยลง ประกอบกับวัดกำลังมีสภาพทรุดโทรม พระองค์จึงทรงสถาปนาวัดขึ้นใหม่ พร้อมกับทรงเปลี่ยนนามวัดเป็น “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” หมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ใกล้สวนดุสิตอันเป็นพระราชฐาน พระอุโบสถทั้งหลังสร้างด้วยหินอ่อนสั่งมาจากประเทศอิตาลี มีพระประธานเป็นพระพุทธชินราชจำลองจากองค์จริงที่ จ. พิษณุโลก

โครงการลานวัด-ลานธรรม

คณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมทำวัตรสวดมนต์ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 - 20.00 น. ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

กำลังโหลดความคิดเห็น