xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าของร้านเก่าในบางกอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้ากระจกของมณีจันทร์จะพาเธอข้ามพรมแดนแห่งเวลาย้อนปัจจุบันไปในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อพบกับหลวงอัครเทพวรการผู้อยู่ในอดีต

ถ้ากระจกเงาแห่งแอริแซดที่อยู่ในโรงเรียนฮอกวอร์ต จะช่วยทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้เห็นภาพของพ่อกับแม่เมื่อในอดีต

ถ้าประตูวิเศษของโดราเอม่อนผู้ซึ่งนั่งเครื่องไทม์แมชชีนจากโลกอนาคตมาเป็นเพื่อนของโนบีตะ จะนำพาพวกเขาไปที่ไหนๆ ก็ได้ ไม่ว่าอนาคต ปัจจุบัน หรือในอดีต

ถ้าทั้งหมดนี้จะทำให้คิดว่าการย้อนปัจจุบันกลับไปสู่อดีตนั้น เป็นไปได้ก็เฉพาะเพียงในโลกแห่งจินตนาการของผู้ประพันธ์เรื่องเท่านั้น คงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะจริงๆแล้วในมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ยังคงมีร่องรอยในอดีตที่สามารถให้เราได้ย้อนกลับไปค้นหาและสัมผัสกลิ่นอายของอดีตได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ของวิเศษใดๆ มาช่วยเลย

อดีตที่ว่านั้นไม่ใช่บทบันทึกในหน้ากระดาษที่แค่พลิกอ่านก็บอกว่ารู้เรื่องอดีตแล้ว แต่มันคืออดีตซึ่งมีชีวิตที่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไป ร่องรอยแห่งอดีตก็จะพรั่งพรูมาให้เราได้สัมผัสได้ด้วยตัวเอง และอดีตที่กล่าวถึงก็คือบรรดาร้านรวงเก่าๆ ที่ยังมีเสน่ห์และมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเกือบนับศตวรรษ

อยากเป็นดารา ต้องมากินกาแฟที่ ออน ล๊อก หยุ่น

หากปัจจุบันจะมีสยามสแควร์เป็นที่ชุมนุมของวัยรุ่นสมัยนี้ ตำนานบทที่หนึ่งของแหล่งรวมขาโจ๋เมื่อในอดีตสัก 70 กว่าปี ก็น่าจะเป็นหลังวังบูรพา โดยมีโรงหนังเฉลิมกรุงเป็นจุดศูนย์กลาง ร้านกาแฟ ออน ล๊อก หยุ่น ซึ่งแปลว่าสวนสนุก ก็จึงได้กลายเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของหนุ่มสาวสมัยก่อนไปด้วย

เพราะเป็นแหล่งรวมของจิ๊กโก๋หลังวัง และผู้คนมากมาย แมวมองจึงเกิดขึ้นที่นี่ คนที่มาทานกาแฟโชคดีอาจจะได้เป็นดาราโดยไม่รู้ตัว เพราะทั้งดารา ผู้กำกับ สายส่งหนัง ต่างก็มารวมตัวทานกาแฟรสชาติดี ที่มีเสริ์ฟพร้อมกับขนมปังขาวนุ่ม เนยแข็งหอมกรุ่น ไข่ลวก แฮม ไส้กรอก ที่พิเศษคือน้ำชาที่มีบริการตลอด

และถ้าจะถามหาบรรยากาศสภากาแฟที่เป็นวงสนทนาในเรื่องทั่วไป ไม่ใช่ต่างคนต่างนั่งที่โต๊ะและละเลียดกินกาแฟโดยไม่สนใจโต๊ะอื่นข้างๆ เหมือนในสมัยนี้ ร้านกาแฟแห่งนี้ก็ยังเป็นที่ต้อนรับผู้คนอยู่อย่างไม่ขาดสาย จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นภาพการเล่นเก้าอี้ดนตรีสลับที่นั่งกันของผู้คนต่างที่ต่างทิศ และไม่รู้จักกันมาก่อนแต่สามารถจะนั่งร่วมโต๊ะกันได้โดยไม่เคอะเขิน แม้เวลาจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2476 ล่วงเลยมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเก่าๆเหล่านั้นก็ยังไม่จางหาย ปัจจุบันร้านยังตกแต่งแบบเรียบง่าย สไตล์เก่าๆ เหล่านี้กระมังที่เป็นเสน่ห์เรียกคนให้เข้าร้านได้จนถึงวันนี้

อยากถ่ายภาพสวยๆ ต้องมาที่ร้านฉายาจิตรกร

ถ้าความคุ้นเคยของคนสมัยนี้กับการถ่ายรูป ก็ต้องเป็นชื่อร้านที่มักจะมีคำว่าโฟโต้ บ้าง ดิจิตอลบ้าง คัลเลอร์แล็บ บ้าง ส่วนอุปกรณ์กล้องก็แน่นอนว่าต้องล้ำยุคเพียงแชะเดียวก็เห็นหน้าตัวเองและไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้รับรูปไปอวดใครต่อใครได้ แต่ในความล้ำสมัยในเทคโนโลยีกลับรู้สึกว่าขาดเสน่ห์อะไรซักอย่างไป ลองไปตามหาเสน่ห์ที่มีมนต์ขลังของร้านถ่ายรูปอายุกว่า 60 ปีที่ย่านวังบูรพากันดีกว่า

ร้านฉายาจิตรกร ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านถ่ายรูปร้านแรกของไทย แต่ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้คือใครๆ ก็อยากจะไปร้านนี้เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ตั้งแต่เล็กจนโต จะเลื่อนชั้น เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ก็ต้องมาให้ช่างภาพฉายาจิตรกรกดชัตเตอร์ให้ จึงเรียกได้ว่าเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ของบุคคลหลายๆ คน ถ้าอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรี นายพล อธิบดีกรมตำรวจ และคนมีชื่อเสียง คนไหนเคยเป็นลูกค้าก็ต้องมาดูรูปที่ร้านนี้ หรือถ้าอยากตามฟิล์มเก่าที่เคยมาถ่ายรูปทิ้งไว้ ก็อาจจะยังเจออยู่ก็ได้

ล๊อกเกตหินแห่งแรกของเมืองไทย นางเลิ้งอาร์ต

ถ้าใครที่ดูหนังไทยหรือละครไทยในยุคเก่าๆ ก็คงจะเคยเห็นฉากที่ตัวเอกของเรื่องแขวนล๊อคเกตที่มีรูปพ่อกับแม่ห้อยติดตัวอยู่ตลอด โดยไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใครอยู่ที่ไหน จนกระทั่งสุดท้ายเมื่อใกล้จะจบเรื่อง ล็อคเกตหินอันนั้นก็ช่วยเฉลยหรือตามหาได้ว่า แท้จริงแล้วตัวเอกนั้นเป็นลูกคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ จากชีวิตที่ตกระกำลำบากก็กลายเป็นมีความสุขทันที...แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปในละครไทยก็ไม่มีตัวเอกไหนแขวนล๊อคเกตหินเสียแล้ว ซึ่งจริงๆ ละครก็ย้อนมาจากชีวิตจริง ทุกวันนี้จึงแทบจะหาคนที่แขวนล๊อคเกตหินไม่ได้ กลายเป็นแขวนเครื่องประดับอย่างอื่นไปซะนี่ จึงไม่ได้แปลกใจว่าจะยังเหลือร้านทำล๊อคเกตหินอีกสักกี่ร้าน

“นางเลิ้งอาร์ต” คือร้านที่รับทำล๊อกเกตหินเป็นแห่งแรกของเมืองไทย และไม่แน่ใจว่าจะยังคงยืนหยัดเป็นร้านเดียวและร้านสุดท้ายด้วยหรือไม่ คุณป้าพวงเพ็ชร เสือสง่า ผู้สืบทอดกิจการต่อมา ได้เล่าให้ฟังว่า ในบรรดาร้านค้าเก่าแก่บนถนนนครสวรรค์ นางเลิ้งอาร์ตเป็นร้านถ่ายรูปที่ตั้งขึ้นมาพร้อมๆกับย่านนั้น ในสมัยรัชกาลที่ 6 เจ้าของร้านชื่อนายหม่อยหยุ่น แซ่เหงี่ยว เป็นชาวจีนที่ไปเติบโตที่เกาะมาริตัส แถบแอฟริกา จึงมีความรู้ภาษาอังกฤษดี เมื่อเข้ามาอยู่เมืองไทยก็ได้โอนสัญชาติและเปลี่ยนชื่อเป็นนายอาจ ศิลปวณิช แต่เคยเป็นลูกจ้างร้านทองมาก่อน แล้วจึงได้ออกมาเปิดร้านถ่ายรูปตามความสนใจของตัวเอง ในสมัยนั้นล๊อคเกตเป็นเครื่องประดับที่กำลังเป็นที่นิยม แต่ต้องส่งไปทำที่ต่างประเทศ เขาจึงเริ่มต้นศึกษาวิธีการทำอย่างจริงจังจนเป็นผลสำเร็จ เกิดเป็นนางเลิ้งอาร์ต นับเป็นร้านแรกของประเทศที่ทำล๊อคเกตหินคุณภาพ

เวลาผ่านไป 90 ปี คุณป้าพวงเพ็ชร ซึ่งเป็นน้องสะใภ้ของคุณอาจ ก็ยังรักษามาตรฐานฝีมือที่ละเอียดประณีต หินที่ใช้ก็เป็นสั่งพิเศษจากต่างประเทศ เวลาที่ใช้ทำล๊อคเกตแต่ละอันนานนับเดือน เพราะความใส่ใจทุกขั้นตอน จนมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแวะเวียนมาศึกษาวิธีการทำมากมาย เพราะตอนนี้ในยุโรปเองเลิกผลิตไปแล้ว แต่นางเลิ้งอาร์ต ยังคงความโดดเด่นเป็นสง่าคู่กับตลาดนางเลิ้งเรื่อยมา และเสน่ห์ของร้านที่ไม่เคยจางหายคือบรรยากาศเก่า ๆ ของร้านที่ยังจะสัมผัสได้ และหากมีเวลาได้พูดคุยกับคุณป้าก็จะได้รับรู้เรื่องราวในวันเก่า ซึ่งแม้จะอายุ 79 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยหลงลืมเลือน เรื่องเก่าของคนรุ่นเก่าอาจเป็นเรื่องใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่สนุกสนานและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

ยังมีเรื่องราวดี ๆ ของร้านเก่า ๆ ในหน้าถัดไป
 

เกี่ยวกับตลาดนางเลิ้ง

ในจำนวนตลาดเก่าแก่แห่งแรกๆ ของไทย ต้องมีชื่อของตลาดนางเลิ้งรวมอยู่ด้วย เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก่อนละแวกนี้เรียกว่าบ้านสนามควาย ก่อนจะเรียกว่า “อีเลิ้ง” ตามชื่อคือตุ่มชนิดหนึ่งของชาวมอญ จนมาเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่า “นางเลิ้ง” สถานที่สำคัญของตลาดนางเลิ้งได้แก่ โรงหนังเฉลิมธานี ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ปี สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 6 นับเป็นแหล่งบันเทิงที่จะได้ดูหนังจากทุกชาติทั้งไทย จีน อินเดีย ฝรั่ง ในราคาที่นั่งละ 3 บาท และ 5 บาท แต่จากจำนวนคนดูที่เคยมากถึงรอบละ 300-400 คนก็เหลือเพียงรอบละไม่ถึง 10 คน จนต้องเลิกฉายไปเมื่อปี 2536 ปัจจุบันเป็นเพียงโกดังเก็บของและเป็นอนุสรณ์สถานคู่กับตลาดนางเลิ้งให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึง

เป็นเพียงตัวอย่างของบางร้านที่สามารถฝ่าฟันและยืนหยัดมาได้จนถึงปัจจุบัน ร้านเหล่านี้ไม่ใช่เพียงจะบันทึกร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ช่วงหนึ่งมีความรุ่งเรือง จนมาถึงความเงียบเหงาบ้างในบางคราว ซึ่งแม้อนาคตและเทคโนโลยีจะวิ่งล้ำนำหน้าไปสักเท่าใด เสน่ห์ที่ยังคงเป็นลมหายใจและตำนานที่เป็นเรื่องเล่า ก็จะยังคงอยู่ ตราบเท่าที่ยังได้รับความสนใจและเหลียวแลจากคนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังไม่ลืมเรื่องราวของคนรุ่นเก่า


ร้านเก่าที่ยังมีลมหายใจ

ร้านธงบรรณการ (อยู่ริมถนนพระสุเมรุ ใกล้กับวัดบวรนิเวศฯ) หรือชื่อร้านเสาธงชาติในอดีต เจ้าของคือหลวงสิทธิบรรณการ (สำเนียง สิทธิสุข) อดีตข้าราชสำนักในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 แต่ต่อมาได้กลายเป็นนักโทษการเมืองในสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยข้อหากระด้างกระเดื่องต่อรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ภายหลังจะได้รับการลดโทษแต่คุณหลวงก็ไม่คิดจะกลับไปรับราชการอีก โดยการตัดสินใจครั้งนั้นเมื่อปี 2486 จึงได้ก่อเกิดร้านเสาธงชาติขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นร้านแรกของประเทศที่ขายเสา ธง และอุปกรณ์ เท่านั้น ยังเป็นเจ้าแรกที่คิดทำเครื่องกลึงเสาธงเพื่อให้ผลิตเสาธงได้เร็วและมีขนาดสม่ำเสมอกัน อีกทั้งเป็นผู้คิดทำฐานดอกรักที่ช่วยตั้งเสาไม่ให้ล้ม ผ่านยุคสมัยมากว่า 60 ปี ถึงวันนี้ร้านเสาธงชาติของคุณหลวง ก็ได้ลูกชายคนที่ 6 มาสานต่อกิจการ โดยได้พัฒนาไปอีก มีทั้งเสาธง ตราสัญลักษณ์ ป้ายโฆษณา และธงทุกประเภท ซึ่งสามารถจะหาได้จากร้านนี้

ร้านสมใจนึก (อยู่บางลำพู ถนนพระสุเมรุ) 2489 คือปีที่เทียนชัย อมรวัฒนา เริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการ ร้านสมใจนึกย่านบางลำพู จากการที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นลูกจ้างในร้านมานานกว่า 10 ปี ซึ่งในระยะแรกๆ เขายังดำเนินกิจการตามรอยเจ้าของเดิมด้วยการขายของเบ็ดเตล็ดทั่วไปครบทุกสิ่งตามที่ลูกค้าต้องการ แต่จากเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อปี 2503 เหลือเพียงเสื้อผ้าที่พอจะขนย้ายได้ทัน จึงกลายเป็นจุดพลิกผันให้สมใจนึกเริ่มฟื้นฟูกิจการและหันมารับจ้างตัดชุดสูทสากล เสื้อเชิ้ต และชุดนักเรียนชาย แต่เมื่อเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น จึงเริ่มหาจุดยืนที่เป็นจุดแข็งของร้าน นั่นคือ ชุดนักเรียน ในปี 2515 สมใจนึกจึงหันมาขายเครื่องแบบนักเรียนอย่างเต็มรูปแบบ คือครบทั้งชุดนักเรียนหญิงชายและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของนักเรียน จนเป็นว่าเปิดเทอมทีไร ปีไหนๆ ใคร ๆ ก็ต้องมาซื้อชุดนักเรียนที่ร้านนี้ซึ่งก็จะได้ของที่สมใจนึกจริง ๆ

ร้านวิวิธภูษาคาร (บริเวณทางเข้าแพร่งสรรพศาสตร์ ถนนตะนาว) เป็นร้านที่เปิดขายเครื่องแบบเสือป่าเครื่องแบบข้าราชการ และเครื่องแบบนักเรียน มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยนายเพี้ยน แสงรุจิ หรือหลวงวิจิตรภัตราภรณ์ เมื่อประมาณปี 2455 จุดเด่นของร้านคือมีเครื่องแบบเสือป่าที่มีครบทุกอย่างทุกมณฑล จนต่อมาได้ขยายมาสู่งานเครื่องแบบข้าราชการ ซึ่งก็ได้รับการกล่าวขานในงานฝีมือที่ประณีตและละเอียดอ่อน แม้จะย้ายจากที่ตั้งเดิมบริเวณถนนเฟื่องนครมาอยู่บริเวณทางเข้าแพร่งสรรพศาสตร์ก็ยังมีลูกค้ามาวะเวียนอยู่เสมอเพราะใกล้ๆ กับสามแพร่งนั้นเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ แต่แล้วเมื่อหน่วยราชการทั้งหลายย้ายออกไป ก็ทำให้การค้าของร้านซบเซาและเงียบเหงาลงไปถนัดตา แม้ในวันนี้จะมีหลานตาทายาทรุ่นที่ 3 มารับช่วงต่อและพอยังมีงานตัดเย็บชุดนักเรียนให้กับโรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัยอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้อดนึกถึงยุคอดีตที่เคยเฟื่องฟูของร้านนี้ไม่ได้

ร้าน ก.พานิช (เยื้องปากซอยแพร่งภูธร ถนนตะนาว) ภาพของผู้คนทั้งใกล้ไกลมาต่อคิวซื้อข้าวเหนียวมูนแสนอร่อยฝีมือของแม่สารภี เฉียบฉลาด เมื่อ 72 ปีก่อนนั้นจะเป็นอย่างไร ในปัจจุบันภาพนั้นก็ยังไม่จางหายไปแม้จะพัฒนาจากการยืนต่อคิวมาเป็นชะลอรถต่อคิวซื้อในบางครั้งแล้วก็ตาม เพราะเคล็ดลับความอร่อยที่ถ่ายทอดให้กับทายาทรุ่นที่ 2 ซึ่งยังคงรักษารสชาติเค็มๆ มันๆ หวานๆ กำลังเหมาะได้เป็นอย่างดี ความนิ่มและนุ่มของข้าวเหนียวเขี้ยวงูที่สั่งพิเศษมาจากอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย และความหอมกรุ่นเข้มข้นของกะทิที่ต้องเป็นมะพร้าวจากชุมพรเท่านั้น รวมเข้ากับส่วนผสมอื่นจนเป็นข้าวเหนียวมูนเลื่องชื่อที่หาซื้อได้ทุกฤดูกาล ซึ่งที่หน้าร้านยังเปิดให้มีแม่ค้ามะม่วงมาขายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อคู่กันอีกด้วย จึงไม่มีทีท่าว่าชื่อ ข้าวเหนียวมูนร้าน ก.พานิช จะสูญหายไปได้ง่ายๆ

ร้านโชติจิตร (หลังสุขุมาลย์อนามัย แพร่งภูธร) ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 นายโชติ เหล็งสุวรรณ หรือหมอโชติ ผู้มีความรู้ในเรื่องยาสมุนไพรได้นำสูตรยาดองเหล้า 10 สูตร ทั้งที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มกำลังวังชาและเพื่อบรรเทารักษาโรคต่างๆ ในราคากรึ๊บละบาท แม้ว่าภาพของโหลยาดองขวดแก้วทรงกลมใหญ่ มีผ้าแดงรองฝาปิดตั้งเรียงรายเป็นแผง มีบรรดาสารถีสามล้อถีบแวะเวียนมาเป็นลูกค้าไม่ได้ขาดจะเป็นกลายภาพในอดีต แต่ในปัจจุบัน ทายาทรุ่นที่ 3 ก็ได้พัฒนาร้านให้เติบใหญ่ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเพิ่มอีก 2 สูตรใหม่คือที่มีสรรพคุณแก้เรื่องเพศไม่ทำงาน และสรรพคุณเพื่อชะลอความชรา ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้สูตรเก่า อีกทั้งมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยในรูปของการใส่ขวด ส่วนราคาการกรึ๊บก็อยู่ที่ 30 บาท สำหรับแก้วใหญ่ และ 15 บาท สำหรับแก้วเล็ก และที่ร้านยังมีเมนูอาหารมากกว่าร้อยรายการกลายเป็นร้านอร่อยเลื่องชื่ออีกร้านของแพร่งหากผ่านไปเมื่อไรก็น่าจะลองไปแวะเพิ่มพลังสักกรึ๊บสองกรึ๊บ

อู่วิเชียรซ่อมรถ (ข้างสุขุมาลย์อนามัย แพร่งภูธร) เสน่ห์ของรถโบราณคงอยู่ที่รูปทรงที่ดูแล้วคลาสสิกแสนจะน่ารักน่าชัง และยิ่งจะมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่อรถคันนั้นได้วิ่งเฉิดฉายบนท้องถนนทัดเทียมกับรถรุ่นใหม่ๆ แต่ด้วยอายุที่อาจจะมากกว่าจึงทำให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ แล้วถ้าบังเอิญรถสุดที่รักเกิดมีปัญหาต้องเข้าอู่ ก็ต้องเป็นอู่ที่ต้องมั่นใจและเชื่อใจได้ อย่าง อู่วิเชียรซ่อมรถ ซึ่งนายตง อภิวัฒน์เสรี ได้เปิดร้านนี้เมื่อเกือบ 70 ปีก่อน จนสามารถถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างที่มีให้กับวิเชียรผู้ลูกชาย ได้ทุกเม็ดทุกหน่วย บวกกับประสบการณ์ที่สะสมยาวนานจึงทำให้อู่วิเชียรซ่อมรถ จะไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะการซ่อมรถเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเกจิที่คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับรถโบราณ อู่ซ่อมรถเก่าแก่นี้จึงต้อนรับคนรักรถเก่าทั้งคนไทยคนต่างชาติอยู่มิได้ขาด เพราะไม่มีสักครั้งที่อู่นี้จะบอกว่าซ่อมไม่ได้ เพียงแต่บางครั้งอาจต้องใช้เวลาบ้าง ในวันนี้แม้จำนวนรถโบราณจะลดน้อยลงและที่อู่จะมีรถรุ่นใหม่ๆ มาให้ซ่อมมากกว่า แต่ตราบเท่าที่ยังมีรถโบราณอยู่ อู่นี้ก็ยังจะรับหน้าที่เป็นที่พึ่งพิงของคนรักรถเก่าต่อไป

ร้านเซี่ยงไถ่ (ย่านสะพานหัน ถนนจักรเพชร) เคยคิดกันบ้างไหมว่าร่มหลากสีที่ทั้งเด็กเล็กเด็กโตคนหนุ่มคนสาวผู้เฒ่าผู้แก่กางกันแดดกันฝันกันให้ทั่วนั้นมีที่มาจากแห่งหนใดกันหนอ ถ้าไม่บอกก็จะไม่รู้ว่า ร่มใต้ฟ้าเมืองไทย ส่วนใหญ่นั้นมาจาก ร้านเซี่ยงไถ่ ร้านที่มีจุดเริ่มต้นจากการรับซ่อมร่มของนายสี่ แซ่กอง เมื่อปี 2451 จนขยายมาสู่การนำเข้าร่มจากต่างประเทศโดยทายาทรุ่นที่ 2 ทำให้มีสีสันและการตกแต่งที่หลากหลายของร่มมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ในปี 2500 เซี่ยงไถ่มีการพัฒนาด้วยการผลิตร่มเองและยังสามารถส่งร่มออกไปจำหน่ายไปยังยุโรปได้ มาถึงวันนี้เซี่ยงไถ่จึงเป็นผู้นำแห่งร่มครบกระบวนการคือ ทั้งผลิต ส่งออก นำเข้า จำหน่าย และรับซ่อมแซม เป็นพัฒนาการและความเติบโตที่ไม่หยุดยั้งจริงๆ

ร้านไต้อันตึง (ตลาดสำเพ็ง ถนนวานิช 1) แม้วิวัฒนาการของเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปขนาดไหน ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่ายาแผนโบราณนั้นยังมีบทบาทต่อผู้คนเพื่อการบรรเทาและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มุยตึ๊ง แซ่ตั้ง ได้นำความรู้ที่ติดตัวมาจากเมืองจีนมาเปิดร้านขายเครื่องยาจีนให้กับผู้คนในย่านสำเพ็ง เมื่อปี 2449 โดยเลือกสรรยาดีมีคุณภาพ และแพทย์ชั้นเยี่ยมมาประจำร้าน ผ่านมาถึงยุคของ กระเษียร ตันติผลาชีวะ ทายาทรุ่นที่ 3 กลิ่นอายแห่งอดีตที่ปู่และพ่อได้สร้างสมมาก็ยังดำรงอยู่ทั้งโครงสร้างอาคารและองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ยา โต๊ะ ตู้ยา เครื่องมือทำยา และแน่นอนว่าตำรับยาสมุนไพรจีนทั้งหลายที่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยนั้นก็ยังคงสรรพคุณอยู่เช่นเดิม

ร้านเขษมบรรณกิจ (ตลาดปีระกา เวิ้งนาครเขษม) การเป็นเจ้าของร้านหนังสือดูจะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ซึ่งสำหรับบุญ เตชะเกษม หรือแต้อิ๊กซัม เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นลูกจ้างอยู่ในโรงสี ต่อด้วยการเป็นลูกจ้างในโรงยาฝิ่น เป็นพ่อครัว และเป็นคนรับซื้อหนังสือตามบ้าน แม้เส้นทางจะวกวนไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือเขษมบรรณกิจ ร้านหนังสือร้านแรกในย่านเวิ้งนาครเขษม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแหล่งรวมของร้านหนังสือที่หนอนหนังสือในยุคกึ่งศตวรรษที่ผ่านมารู้จักกันเป็นอย่างดี ผ่านอดีตจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2473 จนมาถึงปัจจุบันนี้ที่เขษมบรรณกิจจำกัดตัวเองไว้เป็นแค่ร้านหนังสือเฉพาะทางด้านโหราศาสตร์ แต่ก็ยังมีหนังสือเก่าๆ ที่ทางร้านเคยพิมพ์ไว้ ให้หนอนหนังสือได้เข้าไปควานหาอดีตและเสน่ห์ของหนังสือในยุคเก่าก่อนได้

ร้านเล่ากว้างเจียบเซีย (เยาวราช ถนนแปลงนาม) ร้านขายและรับซ่อมเครื่องดนตรีจีนที่ยังเหลือเป็นร้านเดียวในย่านเยาวราชนี้ ก่อเกิดเป็นตำนานโดย เจียบ หยู แซ่เล้า เมื่อประมาณ ปี 2470 ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่ผู้ก่อตั้งร้านคนแรกจนมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 นั้น ไม่มีใครเล่นดนตรีเป็นสักคน แต่กลับสามารถซ่อมเครื่องดนตรีได้ เพราะความที่รู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับลักษณะของเครื่องดนตรี รู้เสียง และรู้วิธี นั่นคือความเชี่ยวชาญที่ฝังอยู่ในสายเลือดจากรุ่นสู่รุ่น ในปัจจุบันร้านยังคงนำเข้าเครื่องดนตรีจีนมาขายอยู่พร้อมๆกับการขายที่ยังคงพอประทังตัวได้ เพราะจำนวนคนซื้อลดน้อยลงมาก แต่ก็มีบางช่วงที่ความคึกคักของดนตรีจีนจะกลับมาตามกระแสที่มีผู้นำ เช่น กู่เจิ้ง พิณน้ำค้าง และซอเอ้อหู ซึ่งแม้จะคาดเดาไม่ได้ว่าในอนาคตจะมีใครมาปลุกกระแสดนตรีจีนให้อีกหรือไม่ แต่ร้านเล่ากว้างเจียบแซ ก็นับว่าเป็นที่ที่ต่อชีวิตให้กับเครื่องดนตรีจีนเหล่านี้ยังคงอยู่ได้ต่อไป

ร้านเชียงเฮงเส็ง (เยาวราช ถนนแปลงนาม) ในยุคสมัยที่ไฟฟ้าก้าวเข้ามาเป็นแหล่งที่ให้แสงสว่าง จนตะเกียงผู้เคยให้แสงสว่างต้องถอยร่นกลับไปอยู่ในซอกมุมเล็กๆของพิพิธภัณฑ์เก่าๆ หรือแม้กระทั่งถูกทำลายหายไปกับกาลเวลา ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีร้านขายและรับซ่อมตะเกียงที่ยังคงยืนหยัดมาได้ถึงวันนี้ ย้อนไปเมื่อปี 2480 บุญนำ เปรมสวัสดิ์ หรือ หน่ำเชียง เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างร้านตะเกียง จนขยับขยายกลายมาเป็นเจ้าของร้านตะเกียงของตัวเองในที่สุด ด้วยการบริการที่จริงใจจึงทำให้มีลูกค้ามากมาย ในระยะแรกมีตะเกียงนำเข้าจากต่างประเทศจนมาถึงการผลิตเองภายใต้ชื่อยี่ห้อ Moda และได้ปิดตัวไปแล้วตามความนิยมที่ลดลงไป แต่ในวันนี้ ทายาทรุ่นที่2 ก็ยังคงทำหน้าที่ซ่อมและขายตะเกียงให้กับนักสะสม ซึ่งบัดนี้ตะเกียงทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้กลายมาเป็นเครื่องประดับตกแต่งมากกว่าคุณประโยชน์ที่ให้แสงสว่าง

เรียบเรียงจากหนังสือ เสน่ห์ร้านเก่า ชุดเวลาวันวาน หมายเลข 1 ของ ธนาทิพ ฉัตรภูติ สำนักพิมพ์เวลาดี

กำลังโหลดความคิดเห็น