นกอะไรเอ่ยตัวใหญ่ บินไม่ได้ แต่วิ่งเร็วที่สุดในโลก??
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก หมดเวลาตอบมาไวไว
คิดออกแล้ว นกกระจอกเทศ นั่นไง
ถูกต้องนะคร้าบ……………
เมื่อพูดถึงนกกระจอกเทศ หลายๆ คนคงพอจะนึกหน้าตาเจ้านกกระจอกเทศกันออกบ้าง ไม่ว่าจะตามทีวีหรือตามสวนสัตว์
แต่ถ้าใครยังนึกไม่ออกก็จะบอกเค้าโครงรูปร่างให้เห็นภาพกัน ลองนึกถึงนกตัวสูงใหญ่ (ขนาดเกือบๆ เท่ากับคนเรา) มีขนปุกปุยพองๆ ขายาวๆ คอยาวๆ หัวทุยๆ หน้าตาจิ้มลิ้มตาโตๆ ปากใหญ่ๆ นั่นแหละคือ นกกระจอกเทศ ซึ่งหลายๆคนอาจจะคิดว่าเราสามารถพบเห็นนกกระจอกเทศได้ก็เฉพาะตามสวนสัตว์หรือในทีวี
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่คิดว่า นกกระจอกเทศเป็นสัตว์แปลกประหลาดที่หาดูได้ยากอีกชนิดหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะปัจจุบันนี้นกกระจอกเทศเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ของโลก มีการทำฟาร์มนกกระจอกเทศจนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ ประเทศ
สำหรับประเทศไทยเราก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่การเลี้ยงนกกระจอกเทศเริ่มมีการนิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสม เพราะนกกระจอกเทศไม่ชอบความชื้น แต่ชอบอากาศที่อบอุ่นสามารถดำรงชีพอยู่ในทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งไม่สมบูรณ์ได้ โดยภูมิอากาศที่เหมาะสมในการเลี้ยงนกกระจอกเทศในบ้านเรานั้นก็คือแถบภาคกลางและภาคอีสาน
ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงฟาร์มนกกระจอกเทศที่เพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศส่งขายเป็นจำนวนมากและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ วันนี้ พ.ศ.นี้ ก็คงจะไม่มีที่ไหนใหญ่เกิน ฟาร์มพิจิตรไทยปศุสัตว์ ที่เริ่มเพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 มีเนื้อที่ทั้งหมด 341 ไร่ มีนกอยู่ในโครงการทั้งหมดประมาณ 3,000 ตัว เป็นฟาร์มที่เพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศเพื่อการค้าทางธุรกิจ ส่งผลิตภัณฑ์นกกระจอกเทศออกขายได้เป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่สร้างรายได้เป็นอย่างดี
โดยนกกระจอกเทศของฟาร์มพิจิตรฯ ที่ทำการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้ามีอยู่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์คอแดง (Red-Neck) พันธุ์คอน้ำเงิน (Blue-Neck) และพันธุ์คอดำ (Black-Neck) ซึ่งนกกระจอกเทศทั้งหมดต่างก็อยู่ร่วมกันภายใต้โรงเรือนที่สะอาด ไม่มีน้ำท่วมขัง มีพื้นที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างให้พวกมันได้เดินวิ่งออกกำลังกาย และมีที่ร่มให้พวกมันได้พักผ่อนบังแดด
“นกกระจอกเทศที่ทางฟาร์มเรานำมาเลี้ยงเป็นนกพ่อแม่พันธุ์ มีถิ่นกำเนิดจากทวีปแอฟริกาใต้ มีอยู่ 3 สายพันธุ์ พันธุ์แรกเป็นพันธุ์คอแดง ตรงคอจะมีลักษณะผิวหนังสีชมพูเข้ม และตัวใหญ่กว่าพันธุ์อื่นๆ พันธุ์คอแดงจะให้ผลผลิตทางด้านเนื้อมากกว่าพันธุ์อื่นๆ เพราะว่าเขาตัวใหญ่ พันธุ์ที่สองเป็นพันธุ์คอน้ำเงิน มีผิวหนังสีน้ำเงินเข้ม ให้ผลผลิตทางด้านไข่น้อย เราเลยไม่นิยมเลี้ยง พันธุ์สุดท้ายพันธุ์คอดำ เป็นพันธุ์ที่ทางฟาร์มของเราเลี้ยงมากที่สุด เพราะว่าให้ไข่ดกกว่าพันธุ์อื่นๆ และเป็นพันธุ์ที่นิสัยเชื่องไม่ค่อยดุร้าย” รุ่งรัชนี ปัตมพรม ประชาสัมพันธ์ฟาร์มฯสาวสวย ผู้มารับหน้าที่ไกด์จำเป็นทำหน้าที่อธิบายให้กับผู้ที่มาเข้าชมฟาร์ม
สำหรับการให้อาหารแก่นกกระจอกเทศนั้น นับว่าไม่เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะว่าพวกมันจัดว่าเป็นสัตว์ที่กินง่าย อาหารจะเป็นอาหารสำเร็จรูปคล้ายกับหัวอาหารไก่ แล้วก็ให้หญ้าสดเป็นอาหารเสริมอาจจะเป็นผักบุ้งหรือหญ้าขน เพื่อเป็นอาหารเสริมกากใย โดยนกกระจอกเทศที่พร้อมจะจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ได้นั้น จะมีอายุตั้งแต่ 10-14 เดือน น้ำหนักประมาณ 100-120 กก. ซึ่งนกกระจอกเทศ 1 ตัว จะได้ผลิตภัณฑ์จากตัวของมันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง ขน ไข่มัน และไข่
“สิ่งที่เรามองเห็นอย่างแรกที่ขายเป็นผลิตภัณฑ์คือ ขน เราจะนำมาทำเป็นไม้ปัดฝุ่น (ขนนกกระจอกเทศ) โดยใช้ทั้งขนอ่อนคือในช่วงที่ขนปุย และขนเส้นคือเป็นขนปลายติดของตัวผู้เป็นสีขาวและทำการย้อมสี โดยเราจะขายเป็นเส้น ใช้เป็นเครื่องประดับแดนซ์เซอร์ และพวกคาบาเร่ย์โชว์
อย่างที่สองเมื่อเราขายขนไปแล้วเราจะได้หนังของเขา คือมีส่วนของหนังหน้าแข้ง เอาไว้ใช้ทำรองเท้าบู๊ท กระเป๋า เสื้อแจ๊คเก็ต เข็มขัด และหนังตัวนกกระจอกเทศ ตัวหนึ่งเราจะได้หนังหนึ่งผืน จะสังเกตได้ว่าหนังนกกระจอกเทศจะมีลักษณะเด่นกว่าหนังสัตว์ชนิดอื่นๆ คือจะมีปุ่มที่เป็นรูขุมขน ปุ่มจะเรียงตัวสวย หนังที่มีราคาดีจะขึ้นอยู่กับปุ่มที่เรียงตัวกันสวยและไม่มีบาดแผล ถ้ามีบาดแผลราคาก็จะลดลงมา”
รุ่งรัชนีอธิบาย ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเติมว่า สำหรับหนังนกกระจอกเทศทางฟาร์มจะนำมาฟอกขาย สามารถฟอกสีได้หลายสี หนังผืนหนึ่งราคาจะตกอยู่ที่ 7,000-8,000 บาทต่อผืน ซึ่งหนัง 1 ผืนสามารถทำกระเป๋าได้หลายใบถ้าเป็นกระเป๋าสตางค์ แต่ถ้าทำเป็นกระเป๋าสะพายของผู้หญิงก็จะได้ประมาณ 3 ใบ
“พอได้หนังแล้วส่วนต่อไปก็คือเนื้อ นกกระจอกเทศ อายุ 1 ปี น้ำหนักประมาณ 100 กก. จะได้เนื้อทั้งหมดประมาณ 33-35 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ได้เนื้อประมาณ 30 กก. เนื้อส่วนที่เราได้มากที่สุดเป็นเนื้อตรงส่วนสะโพกทั้ง 2 ข้าง พวกนี้จะเป็นเนื้อก้อน คือเป็นเนื้อสเต็ก เรียกเกรดเอ ขายอยู่ที่กก.ละ 600 บาท ถ้าเป็นเนื้อชิ้นเล็ก เรียก เกรดบีขายกก.ละ 450 บาท”
นอกเหนือจากขน หนัง เนื้อ แล้วส่วนอื่นๆ ของนกกระจอกเทศก็สามารถขายได้ อย่างไขมันก็ใช้ทำเป็นเครื่องสำอาง เป็นน้ำมันทำอาหาร อุ้งเท้าก็นำมาตุ๋นยาจีนหรือตุ๋นเห็ดหอมกินได้ ขายในราคาคู่ละ 30 บาท ตรงส่วนคอจะเป็นส่วนของเนื้อเศษขายในกิโลกรัมละ 200 บาท เป็นเนื้อขนาดเล็กๆ เหมาะแก่การทำเนื้อทอดกระเทียมพริกไทย
อีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ได้จากนกกระจอกเทศคือ ไข่นกกระจอกเทศ โดยเมื่อนกกระจอกเทศพ่อแม่พันธุ์ ที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิตทางด้านไข่ นกกระจอกเทศจะออกไข่แบบวันเว้นวัน โดยเฉลี่ยแล้วหนึ่งปีจะได้ไข่นกกระจอกเทศประมาณ 60 ฟอง/แม่/ปี วันละประมาณ 4-5 ฟอง โดยจะให้เป็นช่วงฤดูในการออกไข่
สำหรับไข่นกกระจอกเทศที่มีเนื้ออยู่ข้างในนั้นจะหนักถึงฟองละประมาณ 1 กก. 3 ขีด และมีความแข็งแรงถึงขนาดว่าเหยียบไม่แตก ไข่นกกระจอกเทศสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด ทำไข่เจียว ไข่ตุ๋น หรือทำขนมก็ได้ แต่ว่าจะมีรสชาติกระด้างกว่าไข่ไก่และไข่เป็ด ไข่นกกระจอกเทศหนึ่งฟองเท่ากับไข่ไก่ถึง 24 ฟอง เปลือกไข่ก็สามารถนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์อย่างเช่น พวกจี้ แหวน สร้อยคอ หรือวาดเป็นลวดลายตั้งประดับโชว์
เรียกว่าทุกส่วนในตัวนกกระจอกเทศสามารถนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง สร้างรายได้เป็นเม็ดเงินจำนวนมากได้ดีจริงๆ อีกทั้งพวกมันก็เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย แค่มีความเข้าใจและศึกษาการเลี้ยงดูกันหน่อยก็เพียงพอแล้ว นับว่าคุ้มค่ากับการลงทุน จากสัตว์ป่าหน้าตาประหลาดๆ กลับกลายมาเป็นสัตว์เศรษฐกิจสร้างรายได้มหาศาลเป็นกอบเป็นกำแก่ผู้ค้าได้ดีเลยทีเดียว
นอกเหนือจากที่ทางฟาร์มพิจิตรฯ จะเพาะเลี้ยงนกกระเทศเพื่อการค้าแล้วนั้น ปัจจุบันนี้ทางฟาร์มยังได้เปิดฟาร์มเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้ผู้ที่สนใจและอยากเรียนรู้สัมผัสนกกระจอกเทศตัวเป็นๆ กันอย่างใกล้ชิด ว่าตัวจริงเสียงจริงของพวกมันเป็นอย่างไร และการเพาะเลี้ยงนกกระจอกเทศนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับการเที่ยวชมในฟาร์ม ทางฟาร์มพิจิตรฯ ได้จัดให้เข้าชมโดยใช้รถรางพาเที่ยวชมในฟาร์ม พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้กับผู้ที่เข้าชม ซึ่งพื้นที่ภายในฟาร์มที่มีขนาด 341 ไร่นี้ ทางฟาร์มพิจิตรฯ ได้จัดสรรพื้นที่ออกเป็นหลายๆ ส่วน มีการแบ่งโซนโรงเรือนเลี้ยงนกระจอกเทศออกเป็นหลายๆ โซน แยกตามอายุของนกกระจอกเทศ ซึ่งผู้ที่สนใจก็สามารถไปเที่ยวชมกันได้ตามสะดวกที่ ฟาร์มพิจิตรฯ ฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
นกกระจอกเทศ (Ostrich) มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Struthio camelus มีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นนกใหญ่ที่สุดในโลก มีอายุยืนประมาณ 60-80 ปี มีความสูงเฉลี่ย 2.5 ม. หนักถึง 160 กม. เป็นนกมีปีกแต่เป็นปีกเล็กๆ บินไม่ได้ แต่มีขาที่ใหญ่แข็งแรง มีนิ้วเท้าข้างละ 2 นิ้ว วิ่งได้เร็วถึง 60 กม.ต่อชั่วโมง ตัวผู้จะมีขนทั่วตัวสีดำ แต่ขนพวงปลายปีกหางจะเป็นสีขาว ตัวเมียมีขนสีเทาหรือสีน้ำตาลเข้ม ขนจะมีบริเวณลำตัว ปีก และหางเท่านั้น ส่วนหัว คอ และขาไม่มีขน ชอบหากินในทุ่งกว้างอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นสัตว์ขี้ตกใจง่าย เมื่อตกใจจะพากันวิ่งเป็นฝูง เป็นสัตว์ระแวดระวังภัยมาก ป้องกันตัวโดยใช้เท้าเตะ อาหารที่พวกมันกินจะเป็นจำพวกแมลง หญ้า ใบไม้ ผลไม้บางชนิดและเมล็ดพืช
ฟาร์มพิจิตรไทยปศุสัตว์ ตั้งอยู่ที่ 121 ม.2 ต.วังงิ้ว กิ่ง อ.ดงเจริญ ห่างจากตัวเมืองพิจิตร ประมาณ 60 กม. การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 11 ถึง แยกบางมูลนาก-ตากฟ้า-นครสวรรค์ เลี้ยวขวาเข้าไปอีก 10 กม. ถึงบ้านโคกสนั่นเลี้ยวเข้าไปอีก 5 กม. ก็ถึงฟาร์ม การเที่ยวชมนกกระจอกเทศในฟาร์มพิจิตรฯ จะใช้รถรางพานั่งเข้าชม เสียค่าใช้จ่าย 200 บาท/ 1 รอบ นั่งกี่คนก็ได้ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น. สอบถามข้อมูลได้ที่ 0-5660-1004-5