xs
xsm
sm
md
lg

ชมผามออีแดง ก่อนเที่ยวเขาพระวิหาร (ตอนที่2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไปแวะชมผามออีแดงในเขตประเทศไทย คราวนี้ก็ได้เวลาจะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเที่ยวชมปราสาทเขาพระวิหาร สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎประดับเหนือเทือกเขาพนมดงรัก

การไปคราวนี้ไม่ต้องทำพาสปอร์ตหรือวีซ่าให้ยุ่งยาก จ่ายค่าธรรมเนียม 3 ด่าน นับตั้งแต่ค่าผ่านด่านปกครอง อ.กันทรลักษ์ 5 บาท ค่าผ่านด่านของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร 20 บาท และค่าเข้าชมปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเก็บโดยทางการกัมพูชาอีก 50 บาท (แต่ทั้งหมด ถ้าเป็นเด็กและชาวต่างชาติ ก็จะอีกราคาหนึ่ง) แค่นี้ก็ได้ไปเที่ยวเขมรกันแล้ว

แต่ทุกก้าวที่ย่ำผ่านข้ามไป ก็ให้รู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ เพราะครั้งหนึ่งปราสาทเขาพระวิหารก็ได้ชื่อว่าเป็นของประเทศไทย ด้วยเส้นแบ่งพรมแดนที่ขีดคั่นและกำหนดขึ้นใหม่โดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น จึงทำให้ปราสาทเขาพระวิหารต้องตกไปอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา ถ้าเป็นคนอายุรุ่น 40 ปีขึ้นไปคงยังจำกันได้ดีถึงเหตุการณ์ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ดำเนินการต่อสู้เพื่อยืนยันสิทธิของไทยเหนือดินแดนปราสาทเขาพระวิหาร โดยขอรับบริจาคเงินจากคนไทยทั้งประเทศคนละ 1 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้คณะทนายความฝ่ายไทยไปต่อสู้ในศาลโลก การไต่สวนพิจารณาคดียาวนานถึง 3 ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด 73 ครั้ง แต่ในที่สุดศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505

ซึ่งถ้าจะย้อนอดีตไปขุดประวัติศาสตร์มาเล่ากันใหม่ก็รังแต่จะสร้างความขมขื่นและช้ำใจให้เกิดขึ้น เอาเป็นว่า “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไม่ขอพูดอะไรมาก ตั้งหน้าตั้งตาหาความเพลิดเพลินกับการชื่นชมความอลังการและยิ่งใหญ่ของปราสาทเขาพระวิหาร โดยไม่ลืมที่จะหนีบน้องๆ อาสาสมัครที่มารับหน้าที่นำเที่ยวในช่วงวันหยุด ให้ช่วยเล่าเรื่องราวต่างๆ ของสถานที่ นอกเหนือจากที่เคยได้อ่านข้อมูลมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว

น้องๆ อาสาสมัครเล่าว่า ปราสาทเขาพระวิหาร ในภาษาเขมรเรียกว่า "เปรี๊ยะ วิเฮียร์" มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ศรีศิขเรศวร" หมายถึงผู้เป็นใหญ่แห่งขุนเขา ประกอบด้วยปราสาท 4 ชั้น แต่ละชั้นตั้งอยู่บนแนวเขาที่เป็นเนินสูงลดหลั่นกันขึ้นไปตามลำดับ เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แก่เทพสูงสุดของศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งก็คือพระศิวะหรือพระอิศวรนั่นเอง สันนิษฐานว่าปราสาทเขาพระวิหารเริ่มก่อสร้างในพุทธศตวรรษที่ 16 ราวพุทธศักราช 1545-1593 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ของขอม และได้มีการสร้างต่อเติมในอีกหลายรัชกาลต่อมา

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นบันไดหินด้านหน้าของปราสาท สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งเป็นกระพัก (กระพักแปลว่า ไหล่เขาเป็นชั้นพอพักได้) และมีรูปสิงห์ทวารบาล เพื่อเฝ้าดูแลรักษาเส้นทาง เมื่อมองบันไดหินทั้ง 162 ขั้นที่ลาดขึ้นตามแล้วไหล่เขาแล้วอย่าคิดว่าจะเดินขึ้นง่ายๆ เพราะเป็นบันไดที่ทั้งแคบและชัน เดินไม่ดีมีสิทธ์ล้มคะมำได้ เลยมีคำกล่าวว่าสาวๆ ที่ได้ขึ้นบันไดของปราสาทเขาพระวิหาร ก็เหมือนกับได้เป็นนางพญา เพราะจะต้องใช้ความสำรวมและต้องโน้มตัวไปข้างหน้า จึงจะเดินขึ้นไปได้อย่างสะดวก

ส่วนที่มีการสร้างบันไดจำนวน162 ขั้น ก็มีความหมายแฝงอยู่ เลข 1 หมายถึงการเริ่มต้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น เลข 6 หมายถึง การหกล้มลุกคลุกคลาน เพราะเมื่อทำการสิ่งใดๆแล้วก็ย่อมต้องพบกับอุปสรรค เลข 1 บวกกับ 6 เป็น 7 ซึ่งมีความหมายถึงรัศมีความรุ่งเรือง เลข 7 บวก กับเลข 2 เป็น 9 ก็หมายถึงความเจริญก้าวหน้านั่นเอง

ที่บันไดหินนี้จะเป็นจุดที่เด็กๆกัมพูชาหลายสิบคนมาเร่ขายของให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะโปสการ์ดใบละ 5-10 บาท เด็กๆจะใช้ยุทธวิธีเดินตาม และร้องบอกเป็นภาษาไทยชัดเจนว่า ช่วยซื้อกับหนูหน่อย หนูขายไม่แพง ได้กำไรไม่เท่าไหร่ วันนี้หนูยังขายไม่ได้เลย” เอ...รู้สึกเหมือนว่าประโยคเหล่านี้จะเป็นประโยคฮิตของเด็กๆ ที่ขายของตามที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งใช้กันเลยนะเนี่ย มีพี่คนหนึ่งบอกว่า เดี๋ยวนี้ยังดีกว่าแต่ก่อน ที่จะมีเด็กมากกว่านี้และเทียวตื้อนักท่องเที่ยวจนน่ารำคาญมากกว่าน่าสงสาร แล้วพี่คนเดิมก็กระซิบบอกอีกว่า แต่เจ้ากลิ่นคล้ายๆสุขาเคลื่อนที่ ซึ่งโชยมาจากป่าด้านข้างบันไดหินก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม

พอผ่านบันไดหินก็จะเห็น ลานนาคราช ซึ่งเป็นลานที่ปูด้วยแผ่นหินเรียบกว้างไกล จุดนี้ถือว่าเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างเมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์ ซึ่งเมื่อเดินต่อไปก็เปรียบเหมือนว่าเรากำลังจะเดินขึ้นไปสรวงสวรรค์กันแล้ว สังเกตจาก โคปุระชั้นที่ 1 (ช่องประตูที่มีลักษณะเป็นซุ้ม เรียกว่าโคปุระ) สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น ที่บันไดหินจุดนี้ก็ค่อนข้างชัน เพราะมีความเชื่อกันว่าการที่จะเข้าเฝ้าเทพนั้น จะต้องไปด้วยอาการเคารพนบนอบในลักษณะหมอบคลานเข้าไป สังเกตทางทิศตะวันออก จะมีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอนเป็นเส้นทางขึ้นลง ไปสู่ประเทศกัมพูชา เรียกว่าช่องบันไดหัก

มีคำแนะนำอย่างหนึ่งในการจะเที่ยวชมปราสาทหินว่า เมื่อเดินผ่านซุ้มโคปุระ เข้าสู่เขตชั้นในอันเป็นที่ตั้งของปราสาทประธาน เราควรเริ่มเดินชมจากภายนอกก่อน เพราะลวดลายจำหลักส่วนใหญ่จะอยู่ด้านนอก ส่วนจะเดินเวียนซ้ายหรือขวาก็ตามแต่ความสะดวก และถ้าหากมีกล้องส่องทางไกลมาด้วยก็จะดียิ่งขึ้นเพราะจะช่วยทำให้เห็นลวดลายที่อยู่ในส่วนเครื่องบนได้ชัดเจนขึ้น

แม้อากาศจะค่อนข้างร้อน แต่ก็เห็นบรรดาคุณลุงคุณป้ามุ่งหน้าเดินต่อไปไม่มีทีท่าจะเหนื่อยอ่อน ตรงข้ามกับ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ที่แอบหอบฮั่กๆ ต้องขอพักเป็นระยะๆ ก่อนจะค่อยๆเดินไปสู่ โคปุระชั้นที่ 2 ที่มีภาพหน้าบันกวนเกษียรสมุทรซึ่งเชื่อว่าอาจจะสัมพันธ์กับพิธีอินทราภิเษกของกษัตริย์ขอมก็เป็นได้ และที่สองข้างทางขึ้นลงของบันได จะเห็นหลุมกลม ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณฟุตเศษ ๆ เป็นหลุมสำหรับใส่เสา เพื่อทำเป็นปะรำพิธี ถามน้องๆที่พานำชมว่า เจ้าหลุมนี้ลึกไหม น้องๆตอบโดยฉับพลันทันใดว่า พี่อยากรู้ก็ลองลงไปวัดดูสิครับ แหม...น้องๆ ก็ช่างตอบ พี่ไม่อาจเอื้อมจะลบหลู่สถานที่หรอก ปล่อยให้เป็นความค้างคาใจอย่างนี้ต่อไปก็ได้

จากนั้นกองทัพนักท่องเที่ยวก็เคลื่อนขบวนไปที่ โคปุระ ชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นโคปุระ หลังที่ใหญ่โตมโหฬาร ที่ยังสมบูรณ์ที่สุด ลักษณะการสร้างคล้ายกับโคปุระชั้นที่1, 2 แต่ผิดตรงที่มีฝาผนังกั้นล้อมรอบ มีความใหญ่โตมากกว่า ตรงนี้ถือเป็น มหามณเฑียร หรือ ปราสาทหลังที่ 1 พอผ่านไปถึง โคปุระ ชั้นที่ 4 บริเวณกรอบประตูด้านทิศเหนือของปรางค์ประธาน น้องๆ อาสาสมัครชี้ให้ดูตัวหนังสือขอมโบราณที่สลักลงในแผ่นศิลา ที่แม้เวลาจะผ่านไปพันกว่าปี แต่ตัวอักษรนี้ก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ที่โคปุระชั้นที่ 4 นี้ เป็นที่ตั้งของปราสาทประธาน ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งเป็นรูปเคารพสำคัญตามความเชื่อของลัทธิไศวนิกาย แต่ปัจจุบันศิวลึงค์ของจริงนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้เก็บรักษาไว้ มีเพียงศิวลึงค์จำลองประดิษฐานแทนที่

และแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็ได้ไปยืนรับลมชมวิวดูแผ่นดินกัมพูชา ที่ผาเป้ยตาดีซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุด มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 657 เมตร ตรงชะง่อนผาเป้ย ตาดีนี้จะมีรอยสักพระหัตถ์ของ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ว่า 118 สรรพสิทธิ ซึ่งก่อนนี้มีธงไตรรงค์ของไทยปลิวไสวอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงธงหลากสี คล้ายเป็นธงสัญลักษณ์ของลัทธิพราหมณ์มาแทนที่ (เมื่อตอนที่แล้ว ได้เล่าถึงประวัติธงชาติไทย ณ ผาเป้ยตาดีไว้แล้ว)

ชื่นชมความงามและอลังการของปราสาทเขาพระวิหารอยู่พักใหญ่ๆ ก็ได้เวลาเดินย้อนกลับลงไป ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดเริ่มต้นที่ก้าวย่างขึ้นบันได162 ขั้นขึ้นมาเรื่อยๆ และย้อนกลับลงไปทางเดิมนั้น นับระยะทางไปกลับได้เกือบ 3 กิโลเมตร ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุที่แผดเผาในยามบ่าย

แม้ว่ากาลเวลาที่ล่วงเลย กอปรกับที่อาจจะขาดการทำนุบำรุงและเหลียวแลอยู่บ้าง จะทำให้บางมุมบางส่วนของปราสาทเขาพระวิหารชำรุดทรุดโทรมไป แต่สิ่งที่ได้สัมผัสชื่นชมเมื่อแลกกับความเหนื่อยล้าแล้วก็นับว่าคุ้มค่า ที่ได้เห็นปราสาทอายุนับพันปีแห่งนี้ ยังตั้งตระหง่านเป็นปริศนาผลงานการสร้างแห่งความศรัทธาของคนโบราณให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาความยิ่งใหญ่ต่อไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ที่ตั้ง ปราสาทเขาพระวิหาร อยู่ในเขตประเทศกัมพูชา ติดกับ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เดินทางจากฝั่งไทยต้องผ่านทาง อช.เขาพระวิหาร เวลาทำการ 8.00-17.00 น. (ไม่อนุญาตให้ขึ้นปราสาทหลัง 15.00 น.)

การเดินทางจากศรีสะเกษ เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 221 เข้าสู่อำเภอกันทรลักษณ์ ผ่านบ้านภูมิซรอล มาถึงเขต อช.เขาพระวิหาร ผ่านด่านตรวจแล้วไปตามทางขึ้นเขา อยู่ห่างจากตัวอำเภอกันทรลักษณ์ 35 กม.

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โทร.0-4561-9214
กำลังโหลดความคิดเห็น