นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24ธ.ค.68) ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.00-31.20 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซนแนวรับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.09-31.17 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ (XAUUSD) โดยแม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 จะออกมา +4.3% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง +3.3% ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟดลงบ้าง โดยเฉพาะในปี 2026 ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ของสหรัฐฯ หลังจากนั้น ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนตุลาคม ที่หดตัว -0.1%m/m ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนธันวาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 89.1 จุด
กอปรกับ บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ลดทอนความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง และแกว่งตัวในระดับไม่ต่างกับช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจังหวะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้างและกลับมาแกว่งตัวเหนือโซน 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบจากทาง EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้บ้าง
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนพฤศจิกายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ แม้ว่าในวันก่อนหน้านั้น ทางการไทยจะมีการแถลงข่าวพร้อมออกมาตรการเพื่อลดทอนผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท และพร้อมเข้าดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนผิดปกติ ซึ่งเราประเมินว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนและปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจยังคงช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาทต่อได้ โดยเฉพาะหากแรงหนุนดังกล่าว มาจากจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เว้นเสียแต่ว่า ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะปิดรับความเสี่ยงชัดเจน (ไม่ควรเป็นประเด็นมาจากฟองสบู่หุ้น AI ที่มักจะกดดันให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลง เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ่อนไหวกับประเด็นดังกล่าวสูง) ซึ่งอาจหนุนให้เงินดอลลาร์ทรงตัวหรือแข็งค่าขึ้น
ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงขายหุ้นไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมได้ ทำให้เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำไม่มากนัก อนึ่ง หากราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ จากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังผู้เล่นในตลาดจะเลือกไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buy (FOMO Buy)
จากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงปลายปี เนื่องจากปริมาณการทำธุรกรรมที่เบาบางลง อาจทำให้ค่าเงินบาทเสี่ยงเผชิญ Two-Way Risk พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง หากมีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เข้ามากระทบ
อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)


