ท่ามกลางกระแสตั้งคำถามต่อบทบาทคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ USDT ที่ถูกจับตาว่าอาจเป็นตัวเร่งความผันผวนค่าเงินบาท เลขาธิการ ก.ล.ต. ออกโรงย้ำชัด ธุรกรรมซื้อขายผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับ ยังมีสัดส่วน “เล็กมาก” เมื่อเทียบกับตลาดเงินตราต่างประเทศทั้งระบบ ตัวเลขชี้ชัด USDT คิดเป็นเพียง 1.22% ของ FX Inflow ทั้งหมด ขณะที่การแลกดอลลาร์เป็นบาทผ่านแพลตฟอร์มคริปโทฯ อยู่ที่แค่ 0.17% สะท้อนว่า ยังไม่ใช่แรงสั่นสะเทือนเชิงโครงสร้างต่อค่าเงินไทย อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ย้ำยังจับตาใกล้ชิด ท่ามกลางบริบทเงินทุนเคลื่อนย้ายและตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนเร็ว
ตัวเลขชัด ข้อกล่าวหาเริ่มจาง เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดจริง
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการต่อประเด็นที่สังคมและตลาดการเงินตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะเหรียญ Stablecoin อย่าง USDT อาจมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทหรือไม่
คำตอบของ ก.ล.ต. คือ “ตัวเลขยังไม่ถึงจุดนั้น”
ข้อมูลภายใต้การกำกับดูแลระบุว่า ปริมาณธุรกรรมซื้อขาย USDT ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดเป็นเพียง ร้อยละ 1.22 ของมูลค่าธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX Inflow) ทั้งระบบ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 29.1 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนชัดว่า บทบาทของ USDT ยังอยู่ในระดับ “ชายขอบ” เมื่อเทียบกับกลไกตลาดเงินหลักของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาเฉพาะการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จะพบว่าสัดส่วนอยู่ที่เพียง ร้อยละ 0.17 เท่านั้น ตัวเลขนี้แทบไม่สามารถสร้างแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้ในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค
USDT ไม่ใช่ “ตัวขับค่าเงิน” แต่เป็น “ช่องทางเฉพาะกลุ่ม”
ในเชิงกลไกตลาด การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังถูกกำหนดโดยปัจจัยหลักเดิม ได้แก่
กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย การค้า การลงทุนโดยตรง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และทิศทางเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ธุรกรรมคริปโตฯ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับ แม้จะมีการเติบโตในเชิงวอลุ่ม แต่ยังไม่ถึงระดับที่สามารถ “แทรกแซง” สมดุลของตลาด FX ได้จริง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง USDT ในระบบกำกับดูแลของไทยยังเป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินทางเลือกไม่ใช่กลไกกำหนดค่าเงิน
ประเด็นที่ยังต้องจับตาไม่ใช่ปริมาณแต่คือ “พฤติกรรมเงิน”
อย่างไรก็ดี การออกมาย้ำของ ก.ล.ต. ไม่ได้หมายความว่าประเด็นนี้จะถูกปิดฉากลงอย่างถาวรเพราะสิ่งที่ตลาดกังวล ไม่ได้มีแค่ “ขนาด” ของธุรกรรม แต่คือ ลักษณะและทิศทางของเงิน
Stablecoin อย่าง USDT มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเงินตราปกติ
ทั้งในแง่ความเร็ว การเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน และความสามารถในการแปลงสภาพโดยไม่ผ่านระบบธนาคารดั้งเดิม นี่คือเหตุผลที่ ก.ล.ต. ย้ำชัดว่าจะติดตามภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกรรมอย่างใกล้ชิดเพราะแม้วันนี้ตัวเลขยังเล็ก แต่ในโลกการเงินสมัยใหม่ “จุดเล็ก” สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว หากเงื่อนไขเอื้อ
การชี้แจงของ ก.ล.ต. ในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการ “ดับไฟข่าวลือ” ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ยืนยันว่าค่าเงินบาทยังไม่ได้รับแรงกระแทกจากคริปโทเคอร์เรนซีอย่างที่บางฝ่ายกังวล
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณว่าหน่วยงานกำกับไม่ได้มองข้ามความเสี่ยงเชิงโครงสร้างในอนาคต
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างตลาดเงินดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มพร่าเลือน คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “วันนี้กระทบหรือไม่” แต่คือ “ระบบกำกับพร้อมแค่ไหน หากวันหนึ่งมันกระทบจริง” และนี่คือโจทย์ใหญ่ที่ตลาดการเงินไทยยังต้องเฝ้ามองต่อไปอย่างไม่กะพริบตา


