เอเซียพลัส เปิดโผ หุ้นได้ และเสียประโยชน์ หลังค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง 3.26% มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีหนี้ตปท. -นำเข้า อย่าง GULF EGCO BGRIM TFG TVO และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Fund Flow อย่างแบงก์ รับประโยชน์ ส่วนกลุ่มส่งออก ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล รับผลกระทบ เตือน นลท. ลงทุนต่างประเทศ หรือการฝากเงิน FCD ต้องระวัง เน้นโฟกัสค่าเงินบาทให้ดี หากลงทุนทั้งตลาดหุ้นไทยและสหรัฐฯ
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทได้เแข็งค่าอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่า 3.26% ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะขัดแย้งกับปัจจัยพื้นฐานบางกลไก ขณะที่ DOLLAR INDEX อ่อนค่าลงเพียง -1.20% ส่วน FUND FLOW ต่างชาติไหลออกจากตราสารหนี้กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยค่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้านอย่างมีนัยฯ ทิ้งห่างอันดับ 2 ในเอเซีย คือมาเลเซีย ที่ แข็งค่าเพียง 1.14% เท่านั้น
ทั้งนี้การแข็งค่าได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในมิติต่างๆ อย่างไร สำหรับหุ้นที่ได้-เสียประโยชน์เงินบาทแข็งค่า ประกอบด้วย
กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ
1. กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ GULF, BGRIM, EGCO,PTT, PTTEP,PTTGC,BA,AAV
2. กลุ่มที่เน้นการนำเข้า TFG, TVO
3. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Fund Flow ไหลเข้า KBANK, SCB,BBL,TISCO,PTT , SCC ,TOP, CPALL, CRC, ADVANC
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
1. กลุ่มส่งออก HANA, SVI,DELTA,KCE, TU, CPF,GFPT, KSL , STA,NER,STGT,SAT,AH
2. กลุ่มท่องเที่ยว AOT, MINT, CENTEL, ERW
3. กลุ่มโรงพยาบาล BH , BDMS, PR9
แนะ นลท. โฟกัสค่าเงินบาทก่อนลงทุนทั้งหุ้นไทย-สหรัฐฯ
อีกสิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง โดยเฉพาะคนที่ไปลงทุนต่างประเทศ หรือฝากเงินสกุลต่างประเทศ (FCD) โดยปีนี้เม็ด เงินไหลออกไปเยอะล่าสุด ณ ต.ค.68 มีมูลค่าสูงถึง 31,023 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมา 6,677 ล้าน เหรียญฯ หรือ ราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งค่าเงินบาทเป็น ตัวแปรสำคัญที่ต้องโฟกัสสำหรับการลงทุน เพราะ หลายคนเห็นดอกเบี้ยเงินฝาก USD สูง (เช่น 5%) เลยแห่ไปฝาก (ยอด FCD พุ่งสูงทำจุดสูงสุดใหม่)
ความจริงแล้ว : ดอกเบี้ยรับมา พอจะแลกกลับเป็นเงินบาท ที่แข็งค่าเร็วและแรง 9%YTD ทำให้เงินต้นหายไปตามกลไล และได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด นักลงทุนไทยที่ไปซื้อ S&P500 (แท่งสีเหลืองอ่อน) ผลตอบแทนหายไปเยอะเมื่อเทียบกับคน อเมริกันลงทุนเอง เพราะพอแลกกำไรกลับมาเป็นบาท ได้ผลตอบแทนน้อยลงจนถึงขั้นขาดทุนราว -2.7%(MTD) ในทางกลับกัน นักลงทุนสหรัฐฯ ที่มาลงหุ้นไทย (แท่งน้ำเงินเข้ม) ได้กำไรดี (กำไรหุ้น + กำไรค่าเงินแข็ง) ทำให้พอแลก กลับไปเป็นเงินดอลลาร์ ได้ผลตอบแทนมากขึ้นอยู่ที่ +4.2%(MTD) ซึ่งจริงๆแล้ว SET INDEX ปรับขึ้นเพียง +1.0%(MTD) เท่านั้น
ดังนั้นนักลงทุนต้องโฟกัสค่าเงินบาทให้ดีสำหรับการลงทุนทั้งตลาดหุ้นไทยและสหรัฐฯ
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า อาทิ โรงไฟฟ้า/สายการบิน : GULF, BGRIM, EGCO, PTT, AAV, BA (มีหนี้ต่างประเทศเยอะ จ่ายหนี้ถูกลง) นำเข้า: TFG, TVO (ต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบถูกลง) เป้าหมาย FUND FLOW: KBANK, SCB, SCC, CPALL, ADVANC (ถ้าบาทแข็ง ต่างชาติอาจสนใจกลับมาซื้อ หุ้นใหญ่)


