ส่องทองคำส่งท้ายปี 2568 และก้าวสู่ปี 2569 หลายปัจจัยยังสนับสนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นต่อ นักวิเคราะห์ทั่วโลกให้เป้าหมาย 5,000 ดอลลาร์มีโอกาสได้เห็นในปีหน้า จากความต้องการของธนาคารกลางประเทศต่างๆ และนักลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค หนุนทองคำขึ้นเป็นสินทัพย์เชิงโครงสร้าง
ปี 2568 โลกการเงินได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ทองคำ กลายเป็น "ปราการด่านสุดท้าย" ของความมั่งคั่งท่ามกลางพายุความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของปี 2568 ราคาทองคำได้สร้างปรากฏการณ์ทำจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของธนาคารกลางทั่วโลกที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการถือครองทองคำ จนสามารถยืนหยัดและสร้างฐานใหม่ที่ระดับราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเกือบเท่าตัว
ทั้งนี้ เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม ราคาทองคำในประเทศได้แสดงพฤติกรรมที่นักวิเคราะห์เรียกว่าการสร้างฐานใหม่ แม้ในช่วงต้นเดือนจะมีการดีดตัวขึ้น แต่ในเวลาต่อมากลับมีการย่อตัวลงเล็กน้อย สถานการณ์นี้ไม่ใช่สัญญาณของขาลง แต่เป็นการปรับสมดุลของตลาดหลังจากที่ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป
ขณะเดียวกันการที่ราคาสามารถยืนระยะเหนือระดับ 64,000 บาทได้อย่างเหนียวแน่น สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อในตลาดยังคงหนาแน่น โดยเฉพาะแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่เริ่มมีทิศทางอ่อนค่าลงในช่วงท้ายปี ประกอบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยที่มองว่าการย่อตัวทุกครั้งคือโอกาสในการสะสมก่อนที่จะเข้าสู่รอบการขึ้นครั้งใหญ่ในปีถัดไป
วิสัยทัศน์จากวอลล์สตรีท
ในมุมมองของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง J.P. Morgan ได้ให้ทัศนะที่น่าสนใจว่า ราคาทองคำในปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของวัฏจักรขาขึ้นรอบใหญ่ที่อาจกินระยะเวลานานหลายปี โดยประเมินว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 แม้จะมีการพักฐานตามวงจรการทำกำไร แต่ฐานของราคานั้นจะขยับสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนไปแตะระดับเฉลี่ยที่ 5,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงปลายปี 2569
โดยปัจจัยหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญคือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ทำให้แรงจูงใจในการถือครองทองคำเพิ่มสูงขึ้นในหมู่นักลงทุนสถาบันและกองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก
ทางด้าน Goldman Sachs มีมุมมองที่ดุดันไม่แพ้กัน โดยนักวิเคราะห์มองว่าทองคำมี "Upside" หรือโอกาสในการปรับตัวขึ้นมากกว่าความเสี่ยงจากการปรับตัวลง โดยให้เป้าหมายราคาทองคำที่ 4,900 ดอลลาร์ภายในปี 2569 ซึ่งมาจากความต้องการของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางจะเป็นแรงพยุงชั้นดีที่ทำให้ราคาทองคำไม่หลุดวงโคจรขาขึ้น
นอกจากนี้ หากสถานการณ์การคลังของสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของดอลลาร์ลดลง ทองคำอาจพุ่งทะยานเกินกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้ไปสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนต้องปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอเพื่อรับมือกับราคาทองคำในระดับมาตรฐานใหม่นี้
ทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงโครงสร้าง
ข้ามมาที่ฝั่งยุโรป นักวิเคราะห์จาก UBS สถาบันการเงินชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ยกระดับคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2569 ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมองว่าปัจจัยที่ขับเคลื่อนความร้อนแรงในปี 2568 จะยังคงส่งผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าทองคำได้เปลี่ยนสถานะจากสินทรัพย์ที่ใช้เก็งกำไรตามรอบเศรษฐกิจ มาเป็น "สินทรัพย์เชิงโครงสร้าง" (Structural Asset) ที่มีความจำเป็นต่อพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
พวกเขาคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะขึ้นไปแตะระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงกลางปี 2569 และอาจพุ่งไปถึง 4,900 ดอลลาร์หากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ปะทุขึ้นรุนแรงกว่าเดิม การที่ยุโรปเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำแต่ค่าครองชีพสูง ทำให้ทองคำเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเศรษฐีในยุโรปเพื่อการรักษามูลค่าความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น
ขณะที่ Société Générale จากฝรั่งเศส ให้ความเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับการเปรียบเทียบผลตอบแทนว่า ในปี 2569 ทองคำจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเหนือกว่าทั้งเงินดอลลาร์ พันธบัตร และตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค โดยมองว่าสภาวะหนี้สาธารณะทั่วโลกคือ "หงส์ดำ" (Black Swan) ที่นักลงทุนมองข้ามไปไม่ได้ และทองคำคือสินทรัพย์เพียงชนิดเดียวที่ไม่มีภาระหนี้ผูกพัน ทำให้เชื่อว่าราคาเป้าหมายที่ 5,000 ดอลลาร์ในปีหน้าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นตามการอ่อนค่าเชิงปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินกระดาษ (Fiat Currency) ทั่วโลก ดังนั้นการถือทองคำในปี 2569 จึงไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่คือการประกันภัยทางการเงินในรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด
แรงกระจายความเสี่ยงหนุน
ในภูมิภาคเอเชีย นักวิเคราะห์จาก DBS Bank และ UOB ในสิงคโปร์ มีมุมมองที่ให้ความสำคัญกับความต้องการทองคำทางกายภาพ โดยระบุว่าพฤติกรรมของผู้ซื้อในจีนและอินเดียกำลังเปลี่ยนแปลงไป สู่การออมทองในรูปแบบแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล DBS ประเมินว่าในปี 2569 ความต้องการนี้จะยังคงรักษาระดับสูงเนื่องจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าและการกีดกันทางการเงินระหว่างขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ แรงซื้อจากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเอเชียที่ต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงปีหน้า โดยมองเป้าหมายราคาทองโลกที่ 4,450 ถึง 4,600 ดอลลาร์ในช่วงรอยต่อของปี
ทองไทยจ่อ 7-8 หมื่นบาท
สำหรับประเทศไทย นักวิเคราะห์จากสำนักทองคำชั้นนำอย่าง ฮั่วเซ่งเฮง และ YLG ได้ให้มุมมองที่สอดคล้องกับตลาดโลกแต่มีการวิเคราะห์เพิ่มเติมในประเด็นของค่าเงินบาท โดยระบุว่าในปี 2569 นักลงทุนไทยมีโอกาสที่จะได้เห็นราคาทองคำแท่งในประเทศแตะระดับ 70,000 - 80,000 บาท หากราคาทองโลกเป็นไปตามเป้าหมายของสถาบันการเงินต่างประเทศ ฮั่วเซ่งเฮงมองว่าปัจจัยหนุนหลักในปีหน้าคือการเลือกตั้งและนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและส่งผลบวกต่อทองคำ แนะนำให้ผู้ลงทุนชาวไทยเน้นการสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัวลงมาตามแนวรับสำคัญ และไม่ควรตกใจหากราคาผันผวนระหว่างวัน เพราะแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะที่ YLG บูลเลี่ยน เสริมว่าในปี 2569 ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงที่สุดท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงและการบริหารจัดการเงินทุน (Money Management) เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นจะทำให้มูลค่าการซื้อขายต่อหน่วยแพงขึ้นตามไปด้วย การที่ทองไทยมีแนวโน้มจะยืนเหนือระดับ 65,000 บาทได้อย่างถาวรในปีหน้า จะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของการออมทองในไทยไปสู่มาตรฐานราคาใหม่ที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจและปรับแผนการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ตัวแปรค่าเงินบาท "Double Boost"
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องจับตาคือ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นตัวคูณกำไรที่สำคัญ ในปี 2569 เพราะหากเศรษฐกิจโลกบีบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะเกิดปรากฏการณ์ "Double Boost" หรือแรงส่งสองเด้ง โดยทุกการอ่อนค่าของเงินบาทเพียง 10 สตางค์ จะเพิ่มราคาทองในไทยประมาณ 150 - 200 บาท
ดังนั้น หากเงินบาทอ่อนค่าลงไปถึง 50 สตางค์ (จาก 31.50 สู่ 32.00) จะกลายเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ทองไทยทันทีประมาณ 750 - 1,000 บาท ซึ่งปัจจัยนี้เองที่ทำให้นักวิเคราะห์จากฮั่วเซ่งเฮงและ YLG ต่างเน้นย้ำให้นักลงทุนไทยจับตาความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นพิเศษในปีหน้า
และเมื่อนำปัจจัยเงินบาทอ่อนค่าที่ 32.00 บาท มาผสานกับเป้าหมายราคาทองโลกของนักวิเคราะห์ระดับโลก จะเห็นตัวเลขเป้าหมายที่น่าตื่นตา เช่น หากทองโลกไปแตะ 4,400 ดอลลาร์ ตามเป้าหมายระยะสั้นของ Goldman Sachs ราคาไทยที่บาท 32.00 จะพุ่งไปถึง 66,550 บาท ขณะที่หากทองโลกไปแตะ 4,500 ดอลลาร์ ตามคาดการณ์ของ UBS และ DBS ราคาไทยจะขยับขึ้นสู่ระดับ 68,000 บาท และหากเข้าสู่สถานการณ์สูงสุดที่ 5,000 ดอลลาร์ ตามที่ J.P. Morgan คาดการณ์ไว้ในปี 2569 ราคาไทยที่บาท 32.00 จะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 75,550 บาท อย่างเต็มตัว
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำในปี 2569 จะทำหน้าที่เป็น "Currency Hedge" หรือเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับนักลงทุนไทย การถือครองทองคำจึงไม่ใช่แค่การลุ้นให้ราคาโลกขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการประกันมูลค่าเงินออมในกระเป๋าไม่ให้ลดลงตามอำนาจซื้อของเงินบาทที่อ่อนค่าลงอีกด้วย ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ความต้องการทองคำในประเทศไทยยังคงพุ่งสูงสอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกที่มองเห็น "พายุสมบูรณ์แบบ" (Perfect Storm) ที่กำลังก่อตัวขึ้นเพื่อส่งเสริมราคาทองคำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ปี69 ทองคำแท่ง หรือ กองทุน ETF
ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกจากนักวิเคราะห์ทั่วโลกและการคาดการณ์ทิศทางค่าเงินบาทที่เอื้ออำนวย คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในปี 2569 คือ "ควรลงทุนในรูปแบบใดจึงจะได้รับประโยชน์สูงสุด" เนื่องจากในโลกการเงินยุคใหม่ ทองคำไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการซื้อมาเก็บไว้ในตู้เซฟเท่านั้น แต่ยังมีนวัตกรรมทางการเงินอย่างกองทุนรวมทองคำ (Gold ETF) ที่ก้าวเข้ามาเป็นทางเลือกสำคัญ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีคุณลักษณะที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ หากพิจารณาถึง "ทองคำแท่ง (Physical Gold)" จุดเด่นที่ทรงพลังที่สุดคือการเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk) นักลงทุนที่เลือกถือทองคำแท่งในปี 2569 จะได้รับความอุ่นใจในฐานะเจ้าของสินทรัพย์ที่แท้จริง ซึ่งสามารถหยิบจับและเคลื่อนย้ายได้โดยไม่อิงกับระบบธนาคารหรือเครือข่ายดิจิทัล ในแง่ของภาษี การลงทุนในทองคำแท่งในประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบที่กำไรจากการขายคืน (Capital Gain) ไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ ทองคำแท่งยังทำหน้าที่เป็นกลไกป้องกันค่าเงินบาท (Currency Hedge) แบบอัตโนมัติ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวเพื่อส่งต่อเป็นมรดก หรือต้องการสินทรัพย์ที่มั่นใจได้ในยามเกิดวิกฤตการณ์รุนแรง
ในทางกลับกัน "กองทุนทองคำ (Gold ETF)" ได้ก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือหลักสำหรับนักลงทุนที่เน้นความคล่องตัวและต้องการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Capital Efficiency) จุดเด่นของ ETF คือการใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำมาก ทำให้สามารถทำกลยุทธ์ทยอยสะสม (DCA) ได้อย่างต่อเนื่องผ่านระบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีความคล่องตัวสูงในการเข้าทำกำไรระยะสั้นตามสภาวะตลาดโลกที่ผันผวนตลอด 24 ชั่วโมง นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedged) หากมองว่าบาทจะแข็งค่า หรือแบบไม่ป้องกันความเสี่ยง (Unhedged) เพื่อรับกำไรสองเด้งหากบาทอ่อนค่าตามที่วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การลงทุนรูปแบบนี้ต้องแลกมาด้วยค่าธรรมเนียมการจัดการรายปี และความเสี่ยงที่ระบบการซื้อขายอาจล่าช้าในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง
ดังนั้น การเลือกเครื่องมือสำหรับการลงทุนในปี 2569 จึงขึ้นอยู่กับ "วัตถุประสงค์" ของแต่ละบุคคล นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักแนะนำกลยุทธ์แบบผสมผสาน (Hybrid) โดยการถือครองทองคำแท่งไว้เป็น "แกนหลัก" ของพอร์ต (Core Portfolio) ประมาณ 10-15% เพื่อความมั่นคง และใช้กองทุน ETF เป็นส่วนเสริม (Satellite Portfolio) เพื่อเก็งกำไรตามรอบการแกว่งตัวของราคา วิธีการนี้จะช่วยให้นักลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุดจากราคาทองคำที่พุ่งทะยาน พร้อมทั้งรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้ได้อย่างสมดุลในยุคสมัยที่ทองคำกำลังก้าวเข้าสู่มาตรฐานราคาใหม่นี้
การก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของทองคำ
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลรอบด้านจากทุกทวีป รวมถึงปัจจัยค่าเงินบาทและการเลือกเครื่องมือการลงทุนที่วิเคราะห์ข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ทองคำแสดงศักยภาพสูงสุดในฐานะ "สินทรัพย์แห่งความเชื่อมั่น" ปัจจัยที่รุมเร้าเศรษฐกิจโลกทั้งเรื่องหนี้สาธารณะ อัตราดอกเบี้ย และความขัดแย้งทางการค้า จะเป็นตัวผลักดันให้ทองคำพุ่งทะยานไปสู่เป้าหมายที่ 5,000 ดอลลาร์ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
สำหรับนักลงทุน การเข้าใจสถานการณ์และเป้าหมายราคานี้เป็นเพียงจุดเริ่ม แต่หัวใจสำคัญคือการมีความอดทน วินัยในการลงทุน และการเลือกรูปแบบการถือครองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต เพื่อรักษามูลค่าความมั่งคั่งและสร้างโอกาสจาก "ยุคทอง" ที่แท้จริงที่กำลังจะมาถึงในช่วงที่เหลือของปี 2568 และตลอดทั้งปี 2569


