xs
xsm
sm
md
lg

SCB WEALTHเผยกลยุทธลงทุนปี69แนะธีม AI-ทองคำเดินรับแรงหนุนดอกเบี้ยขาลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




SCB WEALTH จัดงานสัมมนา SCB Investment Forum For Wealth 2026 ในหัวข้อ Gold or Goldilocks ผนึกทีม Holistic และ BlackRock ร่วมถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลก และเทรนด์การลงทุนในปี 2569 มองเศรษฐกิจโลกยังมีความยืดหยุ่น แม้อัตราการเติบโตชะลอลง คาดขยายตัวได้ 2.5% ส่วนเศรษฐกิจเอเชียถูกกดดันจากผลกระทบภาษีทรัมป์ที่เริ่มชัดเจน ด้านค่าเงินบาทคาดปี 2569 กลับมาอ่อนค่าปลายปีอาจแตะระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเงินทุนไหลกลับสินทรัพย์สหรัฐฯ หนุนดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกโตต่อเนื่องในปี 2569 ตลาดหุ้นอินเดีย มีโอกาสทำผลงานโดดเด่น หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนตลาดหุ้นไทย มีโอกาสปรับลดไม่มาก จากอัตราเงินปันผลยังน่าสนใจ ด้าน BlackRock แนะลงทุนหุ้นเติบโต และหุ้นขนาดใหญ่ รับกระแสการลงทุน AI และเทคโนโลยี พร้อมกระจายความเสี่ยงลงทุนทองคำและสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง

น.ส.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2569 คาดว่าจะยังคงมีความยืดหยุ่นอยู่แต่ในระดับที่ลดลง โดยอัตราการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5% ชะลอลงเล็กน้อยจากปีนี้ที่คาดการณ์ 2.7% เนื่องจากหลายประเทศได้เร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งส่งออกไปแล้ว และจะเริ่มเห็นผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า โดยหากพิจารณาในระดับประเทศ SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.8% ยุโรป 1.3% ญี่ปุ่น 0.9% จีน 4.3% และ อินเดีย 6.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ความเปราะบางภายในประเทศ และข้อจำกัดพื้นที่การคลังลดลง

ด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงไปสู่ระดับใกล้ 3% อย่างไรก็ตาม ตลาดต้องจับตาจุดยืนของ Fed ภายใต้ประธานคนใหม่ ซึ่งอาจทำให้คะแนนเสียงสนับสนุนการลดดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดดอกเบี้ยลงมาถึงระดับต่ำสุดของรอบนี้แล้ว และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีแนวโน้มดำเนินนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย สวนทางกับธนาคารกลางหลักอื่นในโลก

**คาดปีหน้าบาทขยับอ่อน**
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2568 คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 – 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อย จากปัจจัยด้านฤดูกาล โดยสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักอ่อนค่าลงประมาณ 1% ในเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มอ่อนค่าเฉลี่ยราว 0.8% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน

สำหรับปี 2569 ในไตรมาสแรกเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เมื่อ Fed สิ้นสุดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เงินทุนต่างชาติอาจเริ่มไหลกลับเข้าสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่า กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้ โดยคาดว่าปลายปี 2569 เงินบาทจะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 สินทรัพย์ทองคำให้ผลตอบแทนอันดับ 1 โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% จากสิ้นปี 2567 และนับเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ขณะที่ตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม AI ได้รับประโยชน์จากการที่บริษัททั่วโลกเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มชิปในเกาหลีใต้ที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับขึ้นถึง 63% ตามมาด้วยตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 34% และตลาดหุ้นจีนปรับขึ้น 34% ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 30%

นอกจากนี้ SCB CIO มองว่า ความผันผวนในตลาดการเงินยังไม่จบง่ายๆ การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องเน้นการคัดเลือก (Selective) มากขึ้น และควรกระจายพอร์ตให้หลากหลาย ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์หรือตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยนักลงทุนควรเน้นการลงทุนอย่างต่อเนื่องบนพอร์ตหลัก ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว และหาโอกาสส่วนเพิ่มบนพอร์ตเสริม ระยะสั้น ขณะที่ การจัดพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีเพียงหุ้นและตราสารหนี้อาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนนอกตลาดเข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการสร้างความยั่งยืนให้พอร์ต

**มองตลาดหุ้นโลกยังเติบโตดี-ทองคำยังขึ้นต่อได้**
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2569 จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาลง โดยคาดว่า Fed มีโอกาสลดได้อีก 2 ครั้งในปี 2569 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปลายรอบอยู่ในช่วงประมาณ 3.00 – 3.25% การหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (Quantitative Tightening: QT) ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ช่วยให้เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินโลก ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในปี 2569 ยังมีทิศทางเติบโตระดับ 12–13% เทรนด์ AI ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นในปี 2568 ก็มีแนวโน้มจะส่งแรงหนุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่การพักรบชั่วคราว 1 ปีระหว่างสหรัฐฯกับจีน ช่วยลดแรงกดดันต่อจิตวิทยาการลงทุน และสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้น

สำหรับตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DM) SCB CIO ให้น้ำหนักเชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกระแสลงทุนใน AI และกำไรบริษัทขนาดใหญ่ที่ยังเติบโตดี และตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และแผนพัฒนาตลาดทุนที่ต่อเนื่องของภาครัฐ ส่วนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM)มองที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ จากมูลค่าหุ้นที่ยังถูก โดย P/E เพียงราว 10 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตราว 20–30% ประกอบกับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่สนับสนุนตลาดทุนอย่างจริงจัง และ ตลาดหุ้นอินเดีย ที่คาดการปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงปลายปี 2568 และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2569

ตลาดหุ้นไทย ประเมินว่ามีโอกาสปรับลดลงไม่มากจากระดับดัชนีประมาณ 1,270 จุด โดยแรงพยุงสำคัญคืออัตราเงินปันผลในระดับน่าสนใจที่ราว 4.2% ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงของตลาด แต่ด้านอัพไซด์ยังคงจำกัด เนื่องจากกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตเพียง 5–7% ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับตลาดโลก ส่วนทองคำ SCB CIO มองว่ายังเป็นสินทรัพย์สำคัญในการปกป้องพอร์ตและสร้างผลตอบแทน โดยราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 4,500–5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ จากแนวโน้มการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการสะสมทองคำในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก

**แนะกลยุทธ Stay Invested**
นาย Mark Fuszard, Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions at BlackRock กล่าวว่า สินทรัพย์ที่โดดเด่น ในปี 2568 ตลาดหุ้น EM ให้ผลตอบแทนแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) โดยปรับขึ้นประมาณ 30% และยังมีโอกาสลงทุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ทองคำให้ผลตอบแทนมากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนที่มีทองคำในพอร์ตสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 แนะนำควร Stay Invested ไม่ควรถือ เงินสดมากเกินไป ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เพราะอาจเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทน การลงทุนใน หุ้นเติบโต และหุ้นขนาดใหญ่ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะในธีม AI และการลงทุนด้านเทคโนโลยี และพอร์ตลงทุนไม่ควรมีเพียงหุ้นและตราสารหนี้ แต่ควรเพิ่ม ทองคำ และ สินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างสมเหตุสมผล

"การลงทุนในทองคำควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ต ไม่ควรใส่น้ำหนักมากเกินไป เนื่องจากผลตอบแทนที่ผันผวนในอดีต ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2564 ทองคำเคยปรับลดลงประมาณ 10% จึงจำเป็นต้องจัดสรรสัดส่วนอย่างระมัดระวังควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่น"
กำลังโหลดความคิดเห็น