นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่า ปัจจัยการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย กนง.จะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจ หากแย่กว่าคาด เกิดภาวะเงินฝืดชัดเจน และภาวะการเงินไม่ดี อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ 1.25% ต่อปี มองว่าอยู่ในโซนต่ำแล้ว ดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงเหลือแค่ -0.33% การใช้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง ดังนั้น แม้มองไปข้างหน้านโยบายการเงินยังคงต้องผ่อนคลาย และต้องติดตามความเสี่ยงเศรษฐกิจ พร้อมปรับนโยบายการเงิน แต่ยังคงต้องรักษา Policy Space เพื่อรองรับ Shock ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่ประชุม กนง.เมื่อวานนี้มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 69-70 จะขยายตัวชะลอลงจาก 3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ตามการบริโภคและการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ที่ทอดยาวถึงปีหน้า โดยคาดว่า GDP ในปี 68 อยู่ที่ 2.2% ,ปี 69 อยู่ที่ 1.5% และปี 70 ที่ 2.3% โดยเศรษฐกิจในปี 69-70 ยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพที่ 2.7-2.8%
นายสักกะภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปี 68 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวทั้งการปิดโรงกลั่น โรงงาน และอุทกภัยที่คาดว่าใช้เวลาฟื้นฟูไปถึงไตรมาส 1/69 แต่ปี 69-70 คาดว่าการบริโภคจะลดลงตามรายได้ที่ชะลอตัว และการส่งออกชะลอลงหลังจากเร่งตัวมาที่ 12% ในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออก (Front load) และความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากเศรษฐกิจโลกค่อนข้างดี แต่ในปีหน้าคาดว่าการส่งออกเติบโตชะลอเหลือ 0.6% และในปี 70 อยู่ที่ 1.7% ทำให้แรงขับเคลื่อนลดลง
"เรื่องที่จะเข้ามาช่วย คือ ภาคการท่องเที่ยวที่มีการบวกอ่อนๆ แม้ว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่ในปี 69-70 จะเห็นการทยอยฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ซึ่ง ธปท.จะปรับประมาณการตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 69 อยู่ที่ 35 ล้านคน และในปี 70 อยู่ที่ 36 ล้านคน จากปีนี้อยู่ที่ 33 ล้านคน ดังนั้น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 69-70 จะมาจากภาคการบริการเป็นสำคัญ ส่วนภาคการผลิตยังโตค่อนต่ำมาจากผล Tariffs และการแข่งขันที่มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ" นายสักกะภพ ระบุ
ด้านปัจจัยทางการเมือง ธปท.ใส่สมมติฐานไว้ในรอบนี้ในประเด็นงบประมาณอาจล่าช้า ซึ่งจะกระทบ GDP โดยคาดว่างบประมาณปี 2570 จะล่าช้าราว 2-3 เดือน หรือเกือบ 1 ไตรมาส
"การปรับประมาณการเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จะอยู่ภายใต้สมมติฐานที่มีความเสี่ยงเข้ามา มองไปข้างหน้ามีความเสี่ยงที่เข้ามาชัดเจนก็ใส่เข้าไปในประมาณการ แต่ความเสี่ยงก็มี 2 ด้าน มีความเสี่ยงที่เป็นลบ คือ สถานการณ์ต่าง ๆ และความเสี่ยงที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจได้ แต่โดยรวมเศรษฐกิจมีโอกาสเบ้ในด้านต่ำ มีโอกาสปรับลงมากกว่าปรับขึ้น โดยรวม GDP เราโตต่ำกว่าศักยภาพที่เราเคยมองไว้อยู่ที่ 2.7-2.8%" นายสักกะภพ ระบุ
*จับตาภาวะเงินฝืดใกล้ชิด
นายสักกะภพ กล่าวว่า กนง.มองว่าความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง แต่ กนง.เห็นว่าควรให้ติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวประมาณการเดิม โดยในปี 68 และปี 69 อยู่ที่ 0.8% และปี 70 อยู่ที่ 1.0% โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางลดลงเล็กน้อย แต่ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย
"เงินเฟ้อปรับลดลงมาจากราคาพลังงานที่ปรับลดลง ซึ่งเราติดตามการลดลง ยังไม่เป็นวงกว้าง จนทำให้เกิดภาวะเงินฝืด ซึ่งเราติดตามใกล้ชิด เพราะหากคนมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อลดลง และราคาปรับลดลง ทำให้คนชะลอการใช้จ่าย หรือลงทุน ยังไม่เห็นตรงนี้ แต่ก็เป็นปัจจัยที่กนง.ติดตาม อย่างไรก็ดี ในส่วนของเป้าหมายเงินอัตราเงินเฟ้อ ธปท.มีการพูดคุยกับกระทรวงการคลัง และต้องรอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) คงไม่ได้ปรับเป้าหมาย เพราะเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายระยะปานกลางและยืดหยุ่น" นายสักกะภพ ระบุ
*เงินบาทแข็งค่ามากกว่าปัจจัยพื้นฐาน
นายสักกะภพ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่คณะกรรมการฯ มีการพูดคุยกันค่อนข้างมาก จะเป็นเรื่องค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้นมากและเร็ว โดยค่าเงินดอลลาร์เทียบเงินบาทแข็งค่าขึ้น 8% ถือว่าค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับค่าเงินบาทเทียบคู่ค้าคู่แข่ง (NEER) ก็ปรับแข็งค่าขึ้น ซึ่งคณะกรรมการฯ มองว่า แข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน จึงมีการยกระดับการติดตามค่าเงินและติดตามธุรกรรมที่กดดันค่าเงินบาท
ธปท.ได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงิน ในการตรวจสอบเอกสารการทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) ก่อนที่จะทำธุรกรรมให้กับลูกค้า รวมถึงมาตรการที่จะดำเนินการ คือ การเรียกขอดูข้อมูลเพิ่มมากขึ้น และในส่วนของร้านทองร้านใหญ่ และพิจารณาการเข้าไปตรวจสอบธุรกรรม FX ที่นำเงินเข้าไม่พึ่งประสงค์ เน้นการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น
นายสักกะภพ กล่าวว่า การดูแลค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวน เป็นสิ่งที่ ธปท.ให้ความสำคัญ แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากดอลลาร์อ่อนค่าจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ย รวมถึงราคาทองสูงขึ้นมาก เป็นปัจจัยซ้ำเติม นอกจากนี้ ธปท.ได้เข้าไปดูต้นตอของเงินที่เข้ามา จึงมีการยกระดับการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
"การเข้าดูความผิดปกติ เช่น ทองคำบางช่วงมีธุรกรรม FX ค่อนข้างเยอะ จึงเข้าไปดูและขอข้อมูลเพิ่ม และดูความผิดปกติต่อเนื่อง โดยเงิน Real Flow เราไม่เห็นความผิดปกติ แต่ที่เห็นเยอะจะเป็น Financial Flow คือ ซื้อขายทองคำที่เข้ามาเยอะผิดปกติ แต่เราก็คงต้องเข้าไปดูหลายตัว หลายธุรกรรม เช่น การให้ธนาคารดูเรื่องของธุรกรรม FX และในแง่แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และหากมีความจำเป็นที่จะต้องขยาย Scope ก็พร้อม นอกจากนี้ หากพบว่าธุรกรรมซื้อขายทองคำที่ไม่ได้มีความผิดปกติ แต่เป็นแรงกดดันค่าเงินบาท เราก็จะต้องหาแนวทางการดูแลต่อไป" นายสักกะภพ กล่าว


