นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.00-32.00 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.45-31.65 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้(15ธ.ค.68)ที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.50-31.65 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงที่ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้น พร้อมกับการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ จากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง และเงินบาทได้พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 4.20% ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน โดยเฉพาะผู้ที่โหวตสนับสนุนการคงดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบล่าสุด ซึ่งระบุว่า การคงดอกเบี้ยอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า จากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูงและเสี่ยงที่จะมีแนวโน้มสูงขึ้นได้ โดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงพอควร ขณะเดียวกัน ก็หนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 1% หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลาง (BOT, BOE, ECB และ BOJ) และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมทั้งรอติดตาม พัฒนาการประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้ง การเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2025 จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ตามแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอย่างช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทว่าในช่วงระยะสั้นนั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะรอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จากการประเมินสถานะถือครอง ผ่านข้อมูลของบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ รวมถึงสัญญาณจาก 1-month Risk-Reversals ในตลาด Options สำหรับทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้มากกว่าที่เราประเมินไว้ได้ หากราคาทองคำ (XAUUSD) ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน จากประเด็นความกังวลหุ้นธีม AI/Semiconductor ซึ่งภาพดังกล่าว อาจไม่ได้หนุนเงินดอลลาร์มากนัก และกลับกันอาจเป็นประเด็นที่กดดันเงินดอลลาร์ได้
และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เราจะเริ่มมองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ (โซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ดีกว่าคาด จนทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ รวมถึงอาจต้องเห็นความอ่อนแอของเศรษฐกิจอื่นๆ หรือ BOJ อาจเซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการคงดอกเบี้ย กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อ
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวสองทิศทาง) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ BOJ ก็อาจกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้ ผ่านการเคลื่อนไหวของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)


