xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐีถือคริปโต วาทกรรมความมั่งคั่งยั่งยืน หรือแค่ติดดอยจนขายไม่ลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คำถามที่เฉียบคมจากนักสังเกตการณ์ตลาด การที่เศรษฐีเอเชียแห่จัดพอร์ตคริปโตฯ 10% แล้วอ้างคำสวยหรูว่าเพื่อ “ความมั่งคั่งยั่งยืน” (Wealth Preservation) แท้จริงแล้วคือยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงระดับเซียน หรือเป็นเพียงวาทกรรม “แก้เกี้ยว” ของคนรวยที่ “หนีไม่ทัน-ขายไม่ลง” เลยต้องจำใจถือยาวแล้วปั้นสตอรี่ใหม่เพื่อรักษาฟอร์ม? เจาะลึกจิตวิทยาการลงทุนเมื่อความผันผวนกลายเป็นกับดักที่แม้แต่เศรษฐีก็ดิ้นไม่หลุด

ประเด็นที่ชุมชนคริปโตตั้งข้อสังเกตมานั้น ถือว่า “ตรงจุดและเจ็บแสบ” อย่างยิ่ง เพราะในความเป็นจริงของโลกการลงทุน พฤติกรรมที่เรียกว่า “Involuntary Investor” หรือ “นักลงทุนจำเป็น” (ตั้งใจเก็งกำไรสั้นๆ แต่ราคาดิ่งจนต้องถือยาว) นั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ระดับ Ultra-High Net Worth และนี่คือการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ 3 ประการ ที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขสวยหรูในรายงาน

1.1 ทฤษฎี “เจ็บแต่เก็บทรง” (The Bag-Holder Bias) ต้องยอมรับว่าช่วงปี 2021-2022 เศรษฐีจำนวนมากกระโจนเข้าใส่ Bitcoin ที่ราคาสูงลิ่ว (60,000+ ดอลลาร์) ด้วยความกลัวตกขบวน (FOMO) เมื่อตลาดถล่มลงมาเป็น “Crypto Winter” การจะให้เศรษฐีเหล่านี้ยอมรับว่า “ขาดทุนยับเยิน” หรือ “Cut Loss” ออกไป ย่อมเสียทั้งเงินและเสียทั้งหน้า

1.2 การแก้เกม การเปลี่ยนคำนิยามจาก “เก็งกำไร” เป็น “ถือเพื่อมรดก” (Legacy) หรือ “การลงทุนระยะยาว” จึงเป็นทางออกที่ดูดีที่สุดในทางจิตวิทยา และเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นที่สุดที่จะไม่ขายขาดทุนในขณะนี้

1.3 ความจริงของคริปโตฯ ที่มักไม่เอ่ยถึง คริปโตที่มีความผันผวน 50-80% แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เป็นเครื่องมือ “รักษามูลค่า” (Preservation) ในนิยามแบบดั้งเดิม เว้นแต่จะมองในกรอบเวลา 10-20 ปีจริงๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพียงคำปลอบใจ

2. กลยุทธ์ “Asymmetric Bet” (เสียได้ 10% แต่ถ้าได้คือกินรอบวง) อีกมุมมองหนึ่งที่อาจเป็นเหตุผลที่แท้จริง คือโครงสร้างความมั่งคั่งของคนกลุ่มนี้ต่างจากรายย่อย

2.1 ตรรกะเศรษฐี สำหรับคนที่มีสินทรัพย์ 100 ล้าน การแบ่ง 10 ล้าน (10%) มาลงในสินทรัพย์เสี่ยงสูง หากมันกลายเป็น 0 พวกเขาก็ยังเหลือ 90 ล้านและยังรวยอยู่ (ชีวิตไม่เปลี่ยน) แต่ถ้ามันเด้งกลับมา 5-10 เท่า พอร์ตโดยรวมจะโตระเบิด

2.2 ความจริงคือทนเจ็บได้มากกว่า พวกเขาไม่ได้มองว่ามัน “ปลอดภัย” แต่มองว่ามันคือ “Call Option” หรือตั๋วลอตเตอรี่ใบใหญ่ที่ไม่มีวันหมดอายุ การโยกเงินเข้าจึงไม่ใช่เพราะเชื่อในความยั่งยืนเสมอไป แต่เพราะ “ทนรวยได้ และทนเจ็บได้” มากกว่าคนทั่วไป

การหาทางลงสวยๆ ด้วย “DeFi & Yield”

การที่รายงานระบุว่าเศรษฐีต้องการ ETF ที่มี Staking Yield (ผลตอบแทนจากการฝากเหรียญ) ยิ่งตอกย้ำทฤษฎี “ติดดอย” ได้เป็นอย่างดี เพราะว่าพฤติกรรม เมื่อติดดอยและขายไม่ได้ การปล่อยให้เหรียญวางเฉย ๆ มันเจ็บปวด การนำไป Stake เพื่อกินดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี จึงเป็นวิธีเยียวยาจิตใจและสร้างกระแสเงินสดระหว่างรอราคาฟื้น ดังนั้นการเรียกร้องหา Yield คือสัญญาณของการ “หาค่าเช่าที่” ระหว่างที่ยังลงจากดอยไม่ได้

คริปโตยั่งยืน วาทกรรมหรือวิสัยทัศน์?

คำตอบน่าจะอยู่ในใจนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะเป็นส่วนผสมของทั้งสองอย่าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “วาทกรรมความยั่งยืน” มักจะถูกหยิบมาใช้เสียงดังขึ้นเมื่อพอร์ตการลงทุนกำลังเป็นสีแดง การที่ท่านมองว่าเป็นการ “แอ๊คท่าหล่อๆ” จึงมีน้ำหนักไม่น้อย เพราะในโลกความเป็นจริง ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ผันผวนวันละ 10-20% จะถูกเรียกว่า “Safe Haven” ได้อย่างเต็มปาก นอกเสียจากว่าผู้ถือนั้นจะมีสายป่านที่ยาวพอจะรอให้รอบวัฏจักร (Cycle) กลับมาเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง