Binance ยักษ์ใหญ่คริปโตฯ เผชิญวิกฤตศรัทธาครั้งใหม่ หลังพนักงานแสบแอบใช้บัญชีทวิตเตอร์ทางการปั่นโทเคนส่วนตัว "Year of Yellow Fruit" พุ่งทะยาน 4,600% ภายในไม่กี่นาที ก่อนถูกจับได้ไล่ออก-ส่งดำเนินคดี พร้อมควักเงินแสนดอลล์จ่ายรางวัลนำจับ เผยพฤติการณ์สุดอุกอาจสร้างเหรียญก่อนโพสต์เพียง 60 วินาที เทียบเคียงกรณี TNSR ของ Coinbase ที่ราคาพุ่งปริศนาก่อนประกาศข่าว สะท้อนช่องโหว่ธรรมาภิบาลและการรั่วไหลของข้อมูลภายในที่กำลังกัดกินนักลงทุนรายย่อย
เจาะพฤติการณ์ “ปล้นกลางแดด” 60 วินาทีเปลี่ยนชีวิต
เหตุการณ์อื้อฉาวล่าสุดที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา เมื่อบัญชี X (Twitter) อย่างเป็นทางการของ Binance Futures ได้โพสต์ข้อความโปรโมตโทเคนปริศนาชื่อ “Year of Yellow Fruit” สร้างความแตกตื่นให้กับตลาดจนราคาเหรียญดังกล่าวพุ่งขึ้นกว่า 4,600% หรือ 47 เท่า ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง ดันมูลค่าตลาดแตะ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากการตรวจสอบไทม์ไลน์พบพฤติกรรมที่เข้าข่าย “อาชญากรรมที่มีการวางแผนล่วงหน้า” อย่างชัดเจน โดยโทเคนดังกล่าวถูกสร้างขึ้นบนบล็อกเชน (Deployed) เมื่อเวลา 05:29 น. (UTC) และเพียง “60 วินาที” ต่อมา บัญชีทางการของ Binance ก็ทวีตข้อความเชียร์เหรียญนี้ทันที
นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นความตั้งใจของพนักงานภายใน (Rogue Employee) ที่ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียของบริษัท ซึ่งมีผู้ติดตามนับล้านคน เป็นเครื่องมือในการปั่นราคาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยอาศัยจังหวะความเร็วของวัฏจักร Memecoin และความเชื่อใจของนักลงทุนที่คิดว่าโพสต์ดังกล่าวคือการคัดกรองจากทีมบรรณาธิการของ Binance
Binance เต้นสั่งเชือดทันที-ตั้งค่าหัวแสนดอลล์
ภายหลังชุมชนคริปโตฯ จับพิรุธและแจ้งเบาะแสผ่านช่องทางตรวจสอบ Binance ได้ดำเนินการสอบสวนภายในอย่างเร่งด่วนและออกมายอมรับความจริง โดยระบุว่าได้ “สั่งพักงานและไล่ออก” พนักงานรายดังกล่าวแล้ว พร้อมส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีถึงที่สุด
เพื่อกู้คืนความเชื่อมั่น Binance ได้ประกาศมอบเงินรางวัลนำจับ (Bounty) มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ แบ่งให้กับผู้แจ้งเบาะแส 5 รายที่ช่วยตรวจสอบข้อมูลบนเชนจนมัดตัวผู้กระทำผิดได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตลกร้ายคือ แม้ Binance จะออกมาแฉพฤติกรรมพนักงานและประกาศความโปร่งใส แต่ราคาโทเคนเจ้าปัญหากลับดีดตัวขึ้นอีก 782% ในชั่วโมงถัดมา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคริปโตฯ เต็มไปด้วยนักเก็งกำไรที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ทุกความเคลื่อนไหว โดยไม่สนที่มาที่ไป
เทียบชั้นปม TNSR-Coinbase เส้นบางๆ ระหว่าง “โกงซึ่งหน้า” กับ “ข้อมูลรั่ว”
เหตุการณ์ของ Binance ถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณีอื้อฉาวของ Coinbase ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ Vector และราคาเหรียญ TNSR (Tensor)
ในกรณีของ Coinbase ราคาและปริมาณการซื้อขายเหรียญ TNSR พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงวันที่ 19-20 พ.ย. ก่อนที่บริษัทจะประกาศข่าวการเข้าซื้อกิจการในวันที่ 21 พ.ย. แม้จะไม่มีการยืนยันการกระทำผิดของพนักงานเหมือนเคส Binance แต่รูปแบบ “ราคาพุ่งก่อนข่าว-เทขายหลังข่าว” (Pump and Dump) บ่งชี้ชัดเจนว่าอาจมีการรั่วไหลของข้อมูลภายใน (Information Leakage)
ทั้งสองกรณีสะท้อนปัญหาเดียวกันคือ “ความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมของคนวงใน” (Insider Advantage) โดยกรณี Binance คือการใช้บัญชีทางการปั่นราคาแบบโจ่งแจ้ง (Blunt Force) ขณะที่กรณี TNSR คือความคลุมเครือของข้อมูลที่รั่วไหล ซึ่งทั้งสองรูปแบบล้วนผลักภาระความเสียหายไปให้นักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อตามกระแส
บทเรียนราคาแพง โซเชียลมีเดียคือ ‘อาวุธ’ ไม่ใช่แค่การตลาด
นักวิเคราะห์ชี้ว่า บัญชีโซเชียลมีเดียของกระดานเทรด (Exchange) ไม่ใช่แค่ช่องทางการตลาดอีกต่อไป แต่สถานะของมันเทียบเท่ากับ “เทอร์มินัลการเทรดที่มีสภาพคล่องไม่จำกัด” เพราะทุกข้อความที่โพสต์คือการส่งสัญญาณชี้นำเงินทุนมหาศาล
การที่พนักงานคนหนึ่งสามารถสร้างเหรียญและโพสต์เชียร์ผ่านบัญชีบริษัทได้ในเวลาเพียง 1 นาที สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมของระบบควบคุมภายใน (Internal Controls) ที่ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ (Role-based access) หรือระบบอนุมัติหลายขั้นตอน (Multi-person approval) ที่รัดกุมเพียงพอ
เตือน สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องตระหนัก!! อย่าเป็นเหยื่อรายสุดท้าย
เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนภัยระดับสีแดงให้นักลงทุนรายย่อยต้องปรับกลยุทธ์ เช่น
1.มองข้ามความเชื่อใจ : อย่าไว้ใจโพสต์จากบัญชีทางการ 100% ในทันที ให้ตระหนักเสมอว่าอาจมี "คนใน" ใช้ช่องทางนี้แสวงหาผลประโยชน์
2.ระวังสภาพคล่องปรปักษ์ (Adversarial Liquidity) : ช่วงเวลานาทีแรกหลังการประกาศข่าว คือช่วงอันตรายที่สุด การไล่ราคา (Chase) มักจะจบลงด้วยการติดดอย
3.จับตา Volume ผิดปกติ : กรณี TNSR สอนให้รู้ว่า หากมีปริมาณการซื้อขายพุ่งขึ้นก่อนข่าวจริง นั่นคือสัญญาณอันตรายว่า "วงใน" ได้เข้าทำราคาไปก่อนแล้ว
จนกว่ากระดานเทรดทั่วโลกจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีระบบป้องกันการใช้ข้อมูลภายในและการเข้าถึงบัญชีสื่อสารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้จริง นักลงทุนรายย่อยยังคงต้องรับบทเป็น "คนรู้ทีหลัง" ที่ต้องจ่ายรอบวงในเกมการเงินที่มีเจ้ามือคุมเกมอยู่เบื้องหลังเสมอ


