นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.75-32.30 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.80-32.00 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (8ธ.ค.68)ที่ 31.94 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.03 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันพฤหัสฯ สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย (แกว่งตัวในกรอบ 31.81-32.08 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับจังหวะการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ (โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดเกิน 90%)
อย่างไรก็ดี ในช่วงคืนวันศุกร์ 5 ธันวาคม การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ถูกชะลอลงและเงินบาทเริ่มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด หลังตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็อาจต้องการปรับสถานะถือครองบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางประเด็นความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจกระทบต่อแนวโน้มอุปทานน้ำมันจากทั้งฝั่งรัสเซีย และเวเนซุเอลา
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุม FOMC ของเฟด พร้อมทั้งรอติดตาม พัฒนาการประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้ง การเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จากการประเมินสถานะถือครอง ผ่านข้อมูลของบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ รวมถึงสัญญาณจาก 1-month Risk-Reversals ในตลาด Options สำหรับทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับผลการประชุม FOMC ของเฟด ว่าจะมีมติอย่างไร และแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot มีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง อนึ่ง หากเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่า ก็อาจยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควรในช่วงที่เหลือของปีนี้
และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ หากเฟดตัดสินใจ “คงดอกเบี้ยนโยบาย” และ Dot Plot ก็สะท้อนการลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและเรา กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลง 20 สตางค์ต่อดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย (ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ) หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ของเฟด
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวสองทิศทาง) บนความผันผวนที่อาจสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ เฟดดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับคาดการณ์ของตลาด เช่น คงดอกเบี้ยและDot Plot สะท้อนการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป


