นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(3ธ.ค.68)ที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.04 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.90-32.15 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.98-32.09 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซน 32.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการปรับตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่เผชิญแรงขายทำกำไรจากผู้เล่นในตลาด หลังตลาดการเงินโดยรวมกลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง จากความหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจ (Fully Priced-In) ว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ได้ ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดยังได้กดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงอีกครั้ง และพอช่วยพยุงราคาทองคำให้สามารถแกว่งตัวแถวโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ในเดือนพฤศจิกายน และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกันยายน ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ และอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการบริการของจีน (RatingDog หรือเดิม Caixin Services PMI) ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทยในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเราประเมินว่า โมเมนตัมอัตราเงินเฟ้อไทยอาจกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย ตามการปรับตัวขึ้นของราคาหมวดอาหาร โดยเฉพาะ เนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้ ทำให้โดยรวมอัตราเงินเฟ้ออาจสูงขึ้น แต่ยังคงติดลบ แถวระดับ -0.56% (+0.08%m/m)
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่จะเห็นได้ว่า ในช่วงระยะสั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ (รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น) และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง โดยเฉพาะปรับเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) อย่างชัดเจนนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงก่อนการประชุม FOMC ของเฟด และที่สำคัญ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด และการประชุม BOJ ก่อน ถึงจะปรับสถานะถือครองอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสถานะ Short USD และสถานะ Short JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง) ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า เงินดอลลาร์ก็อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ในช่วงนี้ได้
ในช่วงคืนวันพุธนี้ จนถึงสุดสัปดาห์ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงาน ซึ่งอาจทำให้มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ปรับเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญได้ ก่อนที่จะเข้าสู่สัปดาห์การประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์หน้า โดยเรากังวลว่า หากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อย่างดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ นั้นออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ซึ่งอาจหนุนให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้นได้พอควร และจะกดดันทั้งราคาทองคำ รวมถึงเงินบาท โดยอาจเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงราว 15-20 สตางค์ต่อดอลลาร์ หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวได้ ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป (ทยอยรับรู้ในช่วงราว 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย)


