อุตสาหกรรมเหมืองขุดบิทคอยน์กำลังเผชิญมหาวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อรายได้รายวันดิ่งลงต่ำกว่าต้นทุนการผลิตรวม ส่งผลให้ระยะเวลาคืนทุนยืดเยื้อออกไปไกลกว่ารอบ Halving ครั้งถัดไป ท่ามกลางสภาพคล่องที่เพิ่งฟื้นตัวเปราะบางหลังเหตุการณ์ Flash Crash นักวิเคราะห์จาก BRN ชี้สัญญาณอันตราย หากราคาร่วงหลุด 85,000 ดอลลาร์ อาจเกิดปรากฏการณ์ “Capitulation” หรือการยอมจำนนเทขายสินทรัพย์ของเหมืองรายย่อย ซึ่งจะเป็นแรงกดดันลูกใหม่ที่ถาโถมเข้าใส่ตลาดคริปโตฯ ที่ยังไร้ทิศทาง
สภาพแวดล้อมการขุดที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
นักวิเคราะห์จาก BRN ออกโรงเตือนถึงสภาวะการดำเนินงานที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับนักขุด Bitcoin (Miners) โดยระบุว่า รายได้ศักยภาพรายวันได้ร่วงลงจนต่ำกว่า “ต้นทุนรวมเฉลี่ย” (Median All-in Costs)
คำว่า “ต้นทุนรวม” (All-in Cost) สำหรับนักขุดนั้น ไม่ได้หมายถึงแค่ค่าไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการผลิต 1 BTC ไม่ว่าจะเป็น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร, ค่าธรรมเนียมโฮสติ้ง, ค่าแรงงาน, ค่าบำรุงรักษา, ระบบระบายความร้อน และรายจ่ายฝ่ายทุน (CAPEX) สำหรับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เพื่อสู้กับค่าความยาก (Difficulty) ของเครือข่ายที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นดัชนีชี้วัด “ราคาต้นทุนการผลิต” ที่แท้จริงที่สุดของภาคส่วนนี้
ทิโมธี มิเซอร์ (Timothy Misir) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ BRN เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ศักยภาพการสร้างรายต่อพลังขุด 1 PH/s ต่อวัน ได้ดิ่งลงจากระดับ 55 ดอลลาร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 เหลือเพียงประมาณ 35 ดอลลาร์ ในปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขนี้ “ต่ำกว่า” ฐานต้นทุนรวมเฉลี่ยของบริษัทเหมืองมหาชนรายใหญ่ที่อยู่ที่ 44 ดอลลาร์ อย่างชัดเจน ในขณะที่ Hashrate ของเครือข่ายยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงเสียดฟ้าเกือบ 1.1 Zettahash
สัญญาณ “Squeeze” ครั้งประวัติศาสตร์ คืนทุนนานกว่า 1,000 วัน
“นี่คือการบีบตัว (Squeeze) ครั้งประวัติศาสตร์” มิเซอร์ กล่าวเน้นย้ำ “ระยะเวลาคืนทุน (Payback periods) ตอนนี้ยืดเยื้อออกไปเกินกว่า 1,000 วัน ซึ่งนานกว่าระยะเวลาที่จะถึงเหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งต่อไปเสียอีก ความเสี่ยงที่นักขุดรายย่อยจะยอมจำนน (Capitulation Risk) กำลังพุ่งสูงขึ้น และหากราคามีการย่อตัวลงไปต่ำกว่าระดับ 85,000 ดอลลาร์ อีกครั้ง มันอาจบีบบังคับให้เหมืองที่ขาดสภาพคล่องต้องเทขายสินทรัพย์ออกมาเพื่อความอยู่รอด (Distressed Selling)”
แรงกดดันนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาลูกใหม่ในตลาดที่เพิ่งจะเริ่มทรงตัวหลังจากการล้างพอร์ต (Deleveraging) อย่างรุนแรงเมื่อต้นสัปดาห์ แม้ราคา Bitcoin จะดีดกลับมาแตะระดับ 87,000 ดอลลาร์** ได้ แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่าการเด้งขึ้นครั้งนี้ “ขาดแรงสนับสนุน” จากผู้เล่นหลักอย่าง นักขุด, วาฬ (Whales) และกระแสเงินทุนมหภาค (Macro flows) ซึ่งปกติจะเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดขาขึ้นที่ยั่งยืน
สภาพคล่องฟื้นแต่ไร้พลังใจ-อัลต์คอยน์ซึม
แม้ตลาดจะเริ่มนิ่งขึ้นหลังการเทขายเมื่อวันจันทร์ แต่โมเมนตัมยังไม่กลับมา Bitcoin กู้คืนพื้นที่ได้บางส่วน แต่ตลาด Altcoins กลับไร้ซึ่งความกระหายความเสี่ยง (Risk Appetite) โดย ETH ทรงตัวแถว 2,800 ดอลลาร์, BNB ที่ 830 ดอลลาร์ และ SOL บริเวณ 125 ดอลลาร์
มูลค่าตลาดรวมคริปโทฯ (Total Market Cap) ขยับขึ้นมาแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ปริมาณการซื้อขายยังเบาบาง หลังจากเจอความผันผวนจากการล้างพอร์ตมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม
“สภาพคล่องกลับมาแล้ว แต่โมเมนตัมยังไม่มา” มิเซอร์ วิเคราะห์ “ตลาดกำลังพยายามค้นหาจุดสมดุล (Equilibrium) ไม่ใช่การฟื้นตัว (Recovery)”
เฟดอัดฉีดเงินแต่คริปโตฯ นิ่ง-ทองคำ โลหะเงิน พุ่งสวนทาง
สัปดาห์นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ยุติมาตรการดึงสภาพคล่อง (Quantitative Tightening) อย่างเป็นทางการ พร้อมอัดฉีดเงิน 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคาร ซึ่งถือเป็นการอัดฉีดครั้งใหญ่ที่สุดอันดับสองนับตั้งแต่วิกฤตโควิดปี 2020 ปกติแล้วเม็ดเงินระดับนี้ควรจะจุดพลุสินทรัพย์เสี่ยง แต่ปฏิกิริยาที่เงียบเชียบของคริปโตฯ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางที่ยังคงอยู่
ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอยังตอกย้ำภาพนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ ISM ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 48.2 ยืดเยื้อภาวะหดตัวและส่งสัญญาณอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมที่ซบเซา ในขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและเงิน กลับทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ (พุ่งขึ้น 60% และ 102% ตามลำดับ) สวนทางกับ Bitcoin ที่ยังติดลบ 10% เมื่อเทียบรายปี (YTD) สะท้อนการหมุนเงิน (Rotation) ไปสู่สินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Hard Assets) ในเชิงตั้งรับ
ETF เสียงแตก-ตลาดออปชั่นแห่แทงลง (Puts)
กระแสเงินทุนใน Spot ETF สะท้อนอารมณ์ที่หลากหลาย โดย Bitcoin ETF (สหรัฐฯ) มีเงินไหลเข้าสุทธิ 8.48 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ธ.ค. ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ขณะที่ XRP ETF เงินไหลเข้า 89.65 ล้านดอลลาร์ ส่วน Solana ETF กลับมีเงินไหลออก 13.55 ล้านดอลลาร์ และ Ethereum ETF พลิกกลับมาไหลออกหนักถึงกลับ 79.06 ล้านดอลลาร์ หลังไหลเข้าต่อเนื่องมา 5 วัน
ในขณะเดียวกัน ตลาดออปชั่น (Options) ส่งสัญญาณว่าเทรดเดอร์กำลังเตรียมรับมือกับความปั่นป่วนส่งท้ายปี
ขณะที่ นิค ฟอสเตอร์ (Nick Forster) ผู้ก่อตั้ง Derive.xyz ระบุว่า “คริปโตฯ กำลังเลือดไหลขณะที่สภาพคล่องระเหยหายไป ความผันผวนพุ่งสูงขึ้น และเทรดเดอร์กำลังแห่ซื้อสัญญา Puts (สัญญาณขาลง) โดยเฉพาะที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) 84,000 และ 80,000 ดอลลาร์”
ฟอสเตอร์ชี้ว่า ค่าความผันผวนแฝง (Implied Volatility) ของ BTC ระยะ 30 วัน พุ่งขึ้นจาก 46% เป็นเกือบ 50% ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตรูปแบบนี้มักนำไปสู่การเหวี่ยงตัวของราคา Spot อย่างรุนแรง
ฟันธงโอกาสจบปีเสี่ยงหลุด 80000 ดอลล่าร์
โมเดลความน่าจะเป็นของ Derive ประเมินว่า มีโอกาส 15% ที่ Bitcoin จะจบปีต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์ (ลดลงจาก 20% เมื่อสัปดาห์ก่อน) ในทางกลับกัน โอกาสที่จะปิดปี 2025 เหนือ 100,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 21% ส่วน ETH มีโอกาส 23% ที่จะปิดเหนือ 3,500 ดอลลาร์
“ตลาดกำลังตั้งการ์ดรับความผันผวน แต่ก็ยังมองโลกในแง่ร้ายน้อยกว่าสัปดาห์ที่แล้วเล็กน้อย” ฟอสเตอร์ ทิ้งท้าย
ล่าสุด Bitcoin มีการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 87,300 ดอลลาร์ ขยับขึ้นเล็กน้อยหลังเหตุการณ์ Flash Crash ในขณะที่ตลาดกำลังจับตามองชุดข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่จะทยอยประกาศออกมาอย่างใกล้ชิด


