นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(2ธ.ค.68)ที่ระดับ 32.02 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”
จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.97 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.95-32.10 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) อ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.90-32.04 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง (จากโซน 154.60 เยนต่อดอลลาร์ กลับไปยังระดับ 155.50 เยนต่อดอลลาร์) จากที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันก่อนหน้า จากการปรับเพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาด โดยปัจจัยกระตุ้นการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่นนั้นมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด อีกทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีจังหวะทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มปรับสถานะถือครองก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยเฉพาะการประชุม FOMC เฟดในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ได้
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมบ้าง จากการทยอยย่อตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันก่อนหน้า ทว่าภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดยังพอช่วยพยุงราคาทองคำให้สามารถทรงตัวเหนือโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ อย่างเงินเยนญี่ปุ่นเพิ่มเติมในช่วงนี้ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของญี่ปุ่น หลังในช่วงที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบอนด์ยีลด์ระยะยาว จากทั้งประเด็นความกังวลแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น และแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของครัวเรือนญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน ด้วยเช่นกัน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่จะเห็นได้ว่า ในช่วงระยะสั้น การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ (รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น) และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง โดยเฉพาะปรับเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) อย่างชัดเจนนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงก่อนการประชุม FOMC ของเฟด และที่สำคัญ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดก็อาจรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด และการประชุม BOJ ก่อน ถึงจะปรับสถานะถือครองอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสถานะ Short USD และสถานะ Short JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง) ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า เงินดอลลาร์ก็อาจเริ่มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ในช่วงนี้ได้
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หากราคาทองคำยังสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ตลาดเผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่เราขอเน้นย้ำว่า หากตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนราคาทองคำและกลับกัน อาจกดดันราคาทองคำเพิ่มเติมได้ ซึ่งในช่วงดังกล่าวก็ควรจะเห็นการปรับตัวขึ้นบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ


