เจาะลึกวิกฤตศรัทธาหรือโอกาสทอง? หุ้น MicroStrategy (MSTR) ดิ่งนรกกว่า 60% ในรอบปี เซ่นพิษแรงเทขายหนักหน่วงท่ามกลางกระแสข่าวลือโมเดลธุรกิจส่อล้มเหลว แต่ ‘ไมเคิล เซย์เลอร์’ แม่ทัพใหญ่ยังยืนกราน “ไม่มีวันถอย” กางตัวเลขพอร์ตบิทคอยน์โชว์กำไรสวนทางราคาหุ้น พร้อมสถิติผลตอบแทนระยะยาวที่ “ตบหน้า” หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ระดับโลก นักวิเคราะห์ชี้เบื้องหลังราคาหุ้นร่วงยับ ไม่ใช่เพราะพื้นฐานแย่ แต่กลายเป็น “แพะรับบาป” จากกลยุทธ์ Hedging ของรายใหญ่
MicroStrategy (Strategy) บริษัทผู้ถือครองบิทคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญในปีนี้ จนนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่าเดิมพันระดับ “High-Conviction” ที่พวกเขาวางไว้กับบิทคอยน์กำลังจะพังทลายลงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากมองข้ามกราฟราคาหุ้นระยะสั้น 1 ปี แล้วเจาะลึกลงไปในเนื้อใน จะพบความจริงที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ข้อมูลจาก Google Finance เผยตัวเลขที่น่าตกใจ พบว่าหุ้น MicroStrategy (MSTR) ปรับตัวลดลงเกือบ 60% ในช่วงปีที่ผ่านมา และทรุดตัวลงกว่า 40% นับตั้งแต่ต้นปี (YTD) โดยร่วงลงจากระดับสูงสุดเกือบ 300 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ลงมาเหลือเพียงประมาณ 170 ดอลลาร์ ณ เวลาที่รายงานข่าว
แม้ตัวเลขสีแดงเถือกนี้จะทำให้นักลงทุนบางกลุ่มตีความว่าโมเดลการถือครองบิทคอยน์ ของบริษัทกำลัง “ถูกเปิดแผล” แต่ในความเป็นจริง MicroStrategy ยังคงนั่งทับกำไรสองหลักจากพอร์ตบิทคอยน์ที่ถือครองอยู่ และเมื่อเทียบฟอร์มระยะยาว หุ้นของพวกเขายังคงทำผลงานได้เหนือกว่าหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก
ผ่าพอร์ตลับ "กำไรยังแกร่ง แซงหน้า Apple-Microsoft แบบไม่เห็นฝุ่น"
อ้างอิงข้อมูลจาก BitcoinTreasuries.NET ระบุว่า ต้นทุนเฉลี่ยในการเข้าซื้อบิทคอยน์ของ MicroStrategy อยู่ที่ 74,430 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาบิทคอยน์ในตลาดซื้อขายอยู่ที่ราว 86,000 ดอลลาร์ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรทางบัญชี (Unrealized Profit) จากการลงทุน BTC สูงถึงเกือบ 16%
ยิ่งไปกว่านั้น หากมองภาพกว้างในกรอบเวลา 5 ปี หุ้น MicroStrategy ทะยานขึ้นมากกว่า 500% ทิ้งห่างยักษ์ใหญ่ไอทีอย่าง Apple ที่ทำได้เพียง 130% และ Microsoft ที่ 120% ในช่วงเวลาเดียวกัน
แม้แต่ในระยะสั้น 2 ปี MSTR ก็ยังโชว์ฟอร์มแกร่งด้วยการพุ่งขึ้น 226% ชนะขาดลอยเมื่อเทียบกับ Apple ที่บวก 43% และ Microsoft ที่เพิ่มขึ้นเพียง 25%
เบื้องหลังหุ้นร่วง "เมื่อ MSTR กลายเป็น “เครื่องมือประกันความเสี่ยง”"
การทรุดตัวของราคาหุ้นอาจไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์เสมอไป แต่อาจเกิดจากกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบัน
ขณะที่ ทอม ลี นักวิเคราะห์ชื่อดังและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BitMine ให้สัมภาษณ์กับ CNBC โดยชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า MicroStrategy ได้กลายเป็น “ทางลัด” ที่ง่ายที่สุดในการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) จากบิทคอยน์
“นักลงทุนสามารถใช้ตลาดออปชั่นที่มีสภาพคล่องสูงของ MicroStrategy เพื่อป้องกันความเสี่ยงพอร์ตคริปโตทั้งหมดของพวกเขา ซึ่งวิธีที่สะดวกที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงสำหรับคนที่มีสถานะ Long (ซื้อ) คือการ Short (ขายชอร์ต) หุ้น MicroStrategy หรือซื้อ Puts” ” ทอม ลี กล่าว
พลวัตนี้เปลี่ยนให้ MicroStrategy กลายเป็น “วาล์วระบายแรงดัน” โดยไม่ตั้งใจของตลาดคริปโต ต้องแบกรับแรงขายชอร์ต ความผันผวน และความกังวลของตลาด ซึ่งแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในกลยุทธ์ถือครองบิทคอยน์ระยะยาวของบริษัทเลย
‘เซย์เลอร์’ ลั่นกลองรบ "ช้อนซื้อแหลก 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์"
แม้ราคาหุ้นจะถูกกดดันอย่างหนัก แต่ ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานบริหาร ยังคงแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวผ่านแพลตฟอร์ม X โดยประกาศลั่นว่า “เขาจะไม่ยอมถอย” (Won’t back down)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน บริษัทได้ประกาศการเข้าซื้อบิทคอยน์ล็อตใหญ่จำนวน 8,178 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 835.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่ดุดันกว่ารอบก่อน ๆ ที่เฉลี่ยซื้อเพียงสัปดาห์ละ 400-500 เหรียญ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทถือครองบิทคอยน์รวมมหาศาลถึง 649,870 BTC คิดเป็นมูลค่าพอร์ตรวมเกือบ 56,000 ล้านดอลลาร์
สัญญาณอันตราย "สภาพคล่อง" สินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มถึงทางตัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา เมื่อ Wintermute ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ตลาดคริปโต ได้ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” สำคัญอย่าง Stablecoins, ETFs และคลังสินทรัพย์ดิจิทัล (Treasuries) กำลังประสบภาวะสภาพคล่องชะลอตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดซบเซาในช่วงนี้
นอกจากนี้ข้อมูลจาก DefiLlama ยังตอกย้ำภาพดังกล่าว โดยชี้ว่ากระแสเงินทุนไหลเข้าสู่คลังสินทรัพย์ดิจิทัล (DATs) เริ่มแผ่วลงตั้งแต่เดือนตุลาคม หลังมีการล้างพอร์ตคริปโตมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์
ตัวเลขเม็ดเงินไหลเข้าลดฮวบจากเกือบ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน เหลือเพียง 2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม หรือลดลงถึง 80% และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงในเดือนพฤศจิกายน โดย ณ วันจันทร์ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินไหลเข้าเพียง 500 ล้านดอลลาร์ ลดลงกว่า 75% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าสะท้อนภาวะ “เลือดไหลออก” ของสภาพคล่องที่นักลงทุนต้องระมัดระวังอย่างใกล้ชิด


