จับตาช็อตต่อช็อต สคส. ร่อนหนังสือด่วนเชิญสื่อเกาะติดการแถลงชี้แจงกรณีสั่งระงับและลบข้อมูลชีวภาพ “สแกนม่านตา” กว่า 1.2 ล้านรายการ หลังเกิดข้อกังขาหนักว่ากระบวนการอาจไม่สอดรับกับหลักเกณฑ์ PDPA หวั่นกระทบสิทธิเสรีภาพประชาชนวงกว้าง ด้าน “รมว.ดีอี” ควงแขน “เลขาฯ สคส.” เตรียมกางข้อกฎหมายเคลียร์ชัด 24 พ.ย. นี้ พร้อมเปิดแผนผ่าทางตันมาตรการกำกับดูแลข้อมูลภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส. หรือ PDPC) เคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดยได้ออกหนังสือเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงในประเด็นที่มีนัยสำคัญต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และสิทธิมนุษยชน กรณีที่มีคำสั่งให้ระงับและลบข้อมูลประชาชนจำนวนมหาศาลถึง 1.2 ล้านราย ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตในวงกว้างว่า การดำเนินการดังกล่าวหรือที่มาของข้อมูลชุดนี้ อาจเข้าข่าย “ไม่เป็นไปตามหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” (PDPA) และสุ่มเสี่ยงที่จะละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างร้ายแรง
สำหรับกำหนดการแถลงข่าว “วาระเร่งด่วน” นี้ จะจัดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14.00 - 16.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กรุงเทพมหานคร โดยมีคีย์แมนอย่าง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ที่จะมาร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเบื้องลึกด้วยตนเอง
ประเด็นที่ทำให้สั่งคมต้องจับตาเป็นพิเศษคือคำสั่งระงับและลบข้อมูลกว่า 1.2 ล้านรายการ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลทั่วไปแต่เป็นข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง (Sensitive Data) การที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า “อาจขัดต่อหลัก PDPA” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ในการบริหารจัดการข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลโดยตรง ทั้งในมิติของสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว ซึ่งตามกฎหมายแล้วข้อมูลเหล่านี้ต้องได้รับมาตรฐานการคุ้มครองที่เข้มงวดสูงสุด
กรณีนี้จึงมิใช่เพียงแค่การลบข้อมูลตามระเบียบราชการทั่วไป แต่ถือเป็น “บททดสอบสำคัญ” ของระบบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ในประเทศไทย ที่อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อความเชื่อมั่นของภาคประชาชนที่มีต่อระบบฐานข้อมูลภาครัฐ และเป็นการตอกย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมาย PDPA จำเป็นต้องมีความเคร่งครัด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม ภาคสังคมและแวดวงเศรษฐกิจดิจิทัลต่างจับตาท่าทีของ สคส. ในครั้งนี้ ว่าจะสามารถอธิบายมูลเหตุจูงใจและข้อกฎหมายรองรับคำสั่งดังกล่าวได้อย่างกระจ่างชัดเพียงใด รวมถึงจะมี “มาตรการเชิงรุก” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย เพื่อกู้คืนความเชื่อมั่นและวางรากฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นมาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง


