นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(14พ.ย.68)ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังมีจังหวะแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.40 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่า เฟดอาจยังไม่สามารถทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน แม้ภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง
กอปรกับ ในช่วงนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างยังคงย้ำจุดยืนว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ซึ่งภาพดังกล่าวได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 50% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็มีส่วนช่วยหนุนการทยอยรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เพิ่มแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
และในฝั่งสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะเป็นที่สนใจของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะหลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาจสามารถกลับมาทยอยประกาศได้
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายข้อมูลอาจมีการทยอยประกาศออกมาได้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว
ทั้งนี้ เรามองว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่จะเห็นได้ว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดอยู่ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ แถวโซนแนวต้าน นอกจากนี้ หากมุมมองของเรานั้นถูกต้อง ว่า เฟดจะสามารถทยอยปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีโอกาสพลิกกลับมาปรับตัวลดลงได้ไม่ยาก ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจต้องอาศัยการรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานชะลอตัวลงมากขึ้น หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเพียง 50% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) ด้วยเช่นกัน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ ราคาทองคำกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจหนุนให้ เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เปิดทางให้เงินบาทอาจสามารถแข็งค่าสู่โซนแนวรับ 32.00-32.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้ โดยเราประเมินว่า ราคาทองคำจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรืออาจมีปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมากดดันตลาดเพิ่มเติม ขณะที่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงนี้ อาจไม่ได้หนุนราคาทองคำมากนัก หากสาเหตุในการเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ของตลาดนั้น มาจากความกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด


