xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai Global Markets เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 32.39-ติดตามประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาร้อนแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(12พ.ย.68)ที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.47 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะเคลื่อนไหวผันผวนตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะทยอยอ่อนค่าลง หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP สะท้อนว่า ภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดการจ้างงาน 11,250 ราย ต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ย ในช่วง 4 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดได้ (ตลาดให้โอกาสราว 68% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ และราว 72% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปี 2026)

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง และเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง จากความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ตามภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว โดยผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุด ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในเร็ววันนี้ และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน หลังภาวะ US Government Shutdown มีแนวโน้มจะยุติลงภายในสัปดาห์นี้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ได้ โดยหลังจากที่หน่วยงานทางการของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เรามองว่า ภายใน 2 วัน อาจจะสามารถทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็อาจทยอยรับรู้ ยอดการจ้างงานฯ ในเดือนตุลาคม ได้ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้ เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงนี้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา กลับมาร้อนแรงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นได้ ซึ่งอาจเป็นภาพที่กดดันตลาดการเงินไทยและกดดันเงินบาทได้บ้าง อย่างไรก็ดี ในส่วนของเงินบาทนั้น เราพบว่า หากตลาดกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ย และบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หรือ ปิดรับความเสี่ยง ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มากกว่าจะถือครองเงินดอลลาร์ หนุนให้ เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
กำลังโหลดความคิดเห็น