ก.ล.ต. สวมบทบาท "แกนนำทัพไซเบอร์" ผนึกกำลัง 15 ภาครัฐและเอกชนระดับชาติ ลงนาม MOU ครั้งประวัติศาสตร์ ตอกย้ำเจตนารมณ์ต่อต้าน "Scammer" และยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางฟอกเงิน ชี้กฎหมายใหม่เพิ่มความเข้มข้น กลไก 'Shared Responsibility' บังคับผู้ประกอบธุรกิจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายของลูกค้าหากละเลยมาตรฐาน นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาฯ ก.ล.ต. เปิดเผย ตัวเลขสะสม อายัดทรัพย์สินบัญชีม้าทะลุ 228 ล้านบาท พร้อมชูมาตรการป้องกันเชิงรุก "SEC Check First" และ "สายด่วน 1207" เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันตลาดทุนไทย
MOU ประวัติศาสตร์! รัฐบาลส่งสัญญาณเข้ม ยกระดับการต่อต้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญในการยกระดับมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ ด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและสักขีพยาน
การรวมพลังครั้งนี้เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการต่อต้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ "Scammer" โดยมีเป้าหมายเชิงรุกเพื่อยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน และให้คำปรึกษาแก่ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อภัยหลอกลงทุน โดยหน่วยงานที่ร่วมลงนามครอบคลุมตั้งแต่ ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย ไปจนถึงสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ สะท้อนถึงการทำงานแบบบูรณาการที่ไร้รอยต่อ
ก.ล.ต. ดันกฎหมายใหม่! บังคับ 'Shared Responsibility' สกัดบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการกำหนดมาตรฐานป้องกันและจัดการบัญชีม้า
สิ่งที่นับเป็นหมุดหมายสำคัญคือ การมีส่วนร่วมผลักดันการออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568และ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568กฎหมายใหม่เหล่านี้ได้ยกระดับกลไกการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความชัดเจนของกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญยิ่งคือ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องมีความรับผิดร่วม (shared responsibility)ต่อความเสียหายของผู้ใช้บริการ หากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
จากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถ ระงับบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลได้กว่า 32,671 บัญชี และสามารถ อายัดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 228 ล้านบาท(ยอดสะสม ณ วันที่ 30 กันยายน 2568) นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวน (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันได้นำส่งข้อมูลเพื่อดำเนินการปิดกั้นแล้วจำนวน 5 แพลตฟอร์ม
กลยุทธ์ 'Preventive Anti-Scam' ปิดกั้นสื่อโซเชียลใน 7 นาที พร้อมบริการสายด่วน
นอกจากมาตรการเชิงกฎหมายและการปราบปรามแล้ว ก.ล.ต. ยังเดินหน้านโยบาย การป้องกันเชิงรุก หรือ Preventive Anti-Scam for Allมุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยหลอกลงทุน ด้วยการดำเนินงานผ่าน “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22”ที่ให้คำปรึกษาและรับแจ้งเบาะแสอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคม 2568 ได้รับแจ้งและให้คำปรึกษามากกว่า 1,500 ครั้ง สะท้อนถึงความตระหนักและการแสวงหาความช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้นของประชาชน
พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้ใช้เทคโนโลยีตรวจจับและปิดกั้นการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียล อาทิ Facebook, Instagram, TikTok และ LINE โดยทำงานร่วมกับผู้ให้บริการสื่อโซเชียลและสามารถปิดกั้นได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียง 7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง และปิดกั้นได้ครบ 100%
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเครื่องมือออนไลน์เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเอง เช่น SEC Check Firstตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แนะนำที่ได้รับอนุญาต และ SEC Investor Alertตรวจสอบรายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้งหมดถูกรวมไว้ที่เว็บไซต์ Scam Centerศูนย์รวมข้อมูลการหลอกลงทุน
“การลงนาม MOU ครั้งนี้ จึงตอกย้ำบทบาทของ ก.ล.ต. ในการเป็นศูนย์กลางให้บริการเรื่องภัยหลอกลงทุนแบบครบวงจร มุ่งยกระดับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน เพื่อให้ตลาดทุนไทยปลอดภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน” รองเลขาธิการ ก.ล.ต. สรุปปิดท้าย


