กระแสจองซื้อหุ้นใหม่กลับมาสู่ความตกต่ำอีกครั้ง หลังจากหุ้นน้องใหม่ตัวล่าสุด บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ WASH ประเดิมซื้อขายวันแรก ราคาทรุดต่ำกว่าจองเกือบ 30% สร้างความเป็นแสบให้นักลงทุนที่จองซื้อ ตอกย้ำความเลวร้ายของบริษัทจดทะเบียนใหม่ ซึ่งตั้งราคาเสนอขายหุ้นสูงๆ ปล้นคนที่หลวมตัวเข้าไปจองซื้อหุ้น
WASH เป็นร้านสะดวกซัก หรือร้านตู้เครื่องซักผ้าที่มีอยู่เกลื่อนกลาดทั่วประเทศ โดยนำหุ้นจำนวน 105.88 ล้านหุ้น เสนอขายนักลงทุนเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 7.50 บาท มีค่า พี/อี เรโช 24.51 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมาก และสูบเงินนักลงทุนไปประมาณ 800 ล้านบาท
หุ้นเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายใต้การจับตาว่า ราคาจะยืนเหนือจองได้หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อเปิดการซื้อขาย ก็ทรุดฮวบต่ำกว่าจองในทันที โดยเปิดที่ราคา 6.10 บาท และขึ้นไปสูงสุดที่ 6.70 บาท ลงมาต่ำสุดที่ 5.10 บาท ก่อนปิดที่ราคา 5.35 บาท ต่ำกว่าจอง 2.15 บาท หรือต่ำกว่าจอง 28.67% มูลค่าซื้อขาย 874.47 ล้านบาท
สาเหตุที่หุ้นร้านตู้ซักผ้า หรือร้านเครื่องชำระล้างความสกปรกของเสื้อผ้า แปลงสภาพเป็นหุ้นเน่า ๆ ที่น่าขยะแขยงเพียงชั่วข้ามวัน หลังเข้าซื้อขายในตลาด MAI มีเพียงคำอธิบายเดียวคือ
การตั้งราคาเสนอขายหุ้น WASH แพงเกินไป เอาเปรียบนักลงทุนที่จองซื้อมากเกิน เป็นราคาที่ขูดรีด และเป็นราคาที่ปล้นเงินจากทุกคนที่จองซื้อ
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย่อมปฏิเสธตามเคย ความเสียหายที่ WASH สร้างขึ้น โดยกำหนดราคาขายหุ้นแพงเกินไปนั้น ไม่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ ฯ แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนจะต้องใช้วิจารณญาณในการจองซื้อเอง
แต่คำถามที่ตามมาอีกคือ ตลาดหลักทรัพย์ปล่อยให้หุ้นเน่า ๆ เข้ามาจดทะเบียนได้อย่างไร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรกได้อย่างไร
นโยบายของ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ มีเป้าหมายส่งเสริมพัฒนาบริษัทจดทะเบียนให้เติบโตอย่างยั่งยืน แต่มีคำถามว่า WASH เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืนหรือไม่
เช่นเดียวกับอีกหลายธุรกิจที่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ ไม่ควรเปิดโอกาสให้สูบเงินจากประชาชนนักลงทุน เช่นธุรกิจขายตรง และธุรกิจเครื่องสำอาง ซึ่งตะบี้ตะบันรับกันเข้ามาจดทะเบียนนับสิบ ๆ บริษัท
แต่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์เคยย้อนดูหรือไม่ว่า หุ้นธุรกิจขายตรงและธุรกิจเครื่องสำอาง สร้างความย่อยยับให้นักลงทุนขนาดไหน และมีบริษัทใดบ้างที่เข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว สร้างผลตอบแทนที่คุ้มให้นักลงทุน
หรือมีแต่บริษัทที่เข้ามาสร้างความเสียหาย ปล้นเงินนักลงทุนเท่านั้น
WASH กำลังจุดชนวน สร้างความหวาดผวาให้นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นใหม่อีกหลายตัวที่รอคิวเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้น บริษัท มิสเตอร์ดี.ไอ.วาย โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT หุ้นใหม่ที่มีการระดมทุนวงเงินสูงที่สุดในรอบ 3 ปี คือประมาณ 5,600 ล้านบาท
MRDIYT ดำเนินธุรกิจค่าปลีกประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน มีสาขากว่า 1 พันแห่งทั่วประเทศ นำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท ค่า พี/อี เรโช ประมาณ 17 เท่า ซึ่งยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับค่า พี/อี เรโช เฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย ฯ
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายนนี้ MRDIYT เป็นคิวต่อไปที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ฯ ซึ่งนักลงทุนที่จองซื้อไว้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงตัดสินใจไม่จองซื้อหุ้นแล้ว
เพราะแนวโน้ม จะเป็นหุ้นใหม่ที่ไม่รอด ราคาต่ำกว่าจองอีกตัวหนึ่ง ซึ่งมีการพูดกันในหมู่นักวิเคราะห์ว่า การซื้อขายวันแรก ราคาจะต่ำกว่าจองระดับ 30% หรือไม่ เนื่องจากการตั้งราคาเสนอขายหุ้น อยู่ในเกณฑ์ที่สูง และหุ้นมีจำนวนมาก นักลงทุนที่ไหนจะรับแรงขายไหว
ก.ล.ต.ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้น MRDIYT ออกมาแล้ว โดยรายบุคคล นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเพิ่งมีข่าวถูกบังคับขายหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC มาก่อนหน้า ได้รับการจัดสรรหุ้นสูงที่สุดคือ จำนวน 4.06 ล้านหุ้น และมีโอกาสเจ็บหนักจาก MRDIYT
ส่วนนักลงทุนสถาบันที่ได้รับการจัดสรรหุ้น มีกองทุนบัวหลวงหุ้นระยะยาว รับการจัดสรรจำนวน 5.77 ล้านหุ้น ซึ่งน่าจะเกี่ยวโยงกับการที่บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ร่วมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหุ้น MRDIYT และถ้ากองทุนรวมบัวหลวงหุ้นระยะยาว ขาดทุนจากการจองซื้อหุ้น MRDIYT คนที่รับเคราะห์คือ นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนบัวหลวงหุ้นระยะยาว
หุ้นตัวใหญ่ MRDIYT ถูกประเมินแล้ว ไม่รอดแน่ แทบไม่มีสิทธิยืนเหนือจอง แต่จะต่ำของเท่าไหร่ คนที่จองซื้อไว้เจ็บหนักขนาดไหน ลุ้นระทึกกันวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้


