สัญญาณเตือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้พังอีกครั้ง เมื่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางพุ่งแตะระดับ 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเทียบเท่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมของจีน เยอรมนี ญี่ปุ่น อินเดีย และสหราชอาณาจักร
ตามรายงานจากมูลนิธิ Peter G. Peterson Foundation ซึ่งเป็นองค์กรอิสระด้านการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า หนี้สาธารณะสหรัฐฯ กำลังขยายตัวในอัตรา “นาทีละ 4.8 ล้านดอลลาร์” หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 288 ล้านดอลลาร์ และวันละกว่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันหนี้เฉลี่ยต่อประชากรอยู่ที่ประมาณ 111,000 ดอลลาร์ต่อคน และต่อครัวเรือนสูงถึง 287,000 ดอลลาร์ต่อบ้านหนึ่งหลัง
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนวิกฤตเชิงโครงสร้างทางการคลังของสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา หนี้สาธารณะได้ทะลุ 38 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 38.076 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ (28 ตุลาคม)
นอกจากนี้ มูลนิธิ Peter G. Peterson Foundation ยังเผยว่า สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้เฉลี่ยต่อวันสูงถึง 3 พันล้านดอลลาร์ และแนวโน้มดังกล่าวอาจพุ่งขึ้นต่อเนื่อง หากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ ได้แก่ Moody’s, Fitch และ Standard & Poor’s ดำเนินการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศลงอีก
“แม้สถาบันการเงินทั่วโลกจะยังมองว่าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe asset class) แต่การถูกลดอันดับซ้ำ ๆ บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นนี้เริ่มสั่นคลอน หากนักลงทุนและหน่วยงานจัดอันดับยังคงสูญเสียศรัทธาในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเทศจะต้องเสนอดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน ซึ่งจะกดดันอัตราดอกเบี้ยโดยรวมให้ขยับขึ้นตาม” รายงานระบุ
ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวกำลังสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ในหลายมิติ ทั้งด้านงบประมาณ ดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายและปรับโครงสร้างหนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้ทันเวลา สหรัฐฯ อาจเผชิญ “จุดเปลี่ยนทางการคลัง” ที่ส่งผลสะเทือนถึงตลาดการเงินโลกในระยะยาว
                    

