นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(30ต.ค.68)ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.55 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง สู่โซน 32.40 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.25-32.45 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่า เฟดจะมีเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.75-4.00% พร้อมส่งสัญญาณยุติการปรับลดงบดุล (Quantitative Tightening) ตามที่ตลาดคาดหวัง ทว่าก็มีความเซอร์ไพรส์ตลาดอยู่บ้าง ทั้งมติการปรับลดดอกเบี้ยที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยมีกรรมการ 1 ท่าน (Jeffrey Schmid) เห็นควรให้เฟดคงดอกเบี้ย ส่วนกรรมการอีก 1 ท่าน (Stephen Miran) ให้ควรให้ลดดอกเบี้ย 50bps
นอกจากนี้ ในช่วง Press Conference ประธานเฟด Jerome Powell ยังได้ส่งสัญญาณว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนั้น อาจยังไม่แน่นอน ("A further reduction in the policy rate at the December meeting is not a foregone conclusion. Far from it.") สะท้อนถึงความระมัดระวังของเฟดในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น ท่ามกลางภาวะขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ Data Blindness จากผลกระทบของภาวะ US Government Shutdown ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม เหลือ 67% (ส่วนในปีหน้า ผู้เล่นในตลาดยังให้โอกาสราว 70% ที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า) โดยท่าทีของประธานเฟดดังกล่าว ได้หนุนให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างรีบาวด์สูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินบาท ทว่าการอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมของธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาทิ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง BOJ และ ECB โดยในส่วนของ BOJ นั้น ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ตามเดิม เช่นเดียวกันกับฝั่งของ ECB ที่น่าจะคงดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ และ ECB โดยเฉพาะผู้ว่าฯ BOJ และประธาน ECB ในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลางหลัก ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทั้งสองธนาคารกลางอาจสื่อสารไม่ต่างกับประธานเฟด Jerome Powell ว่า แนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายอาจยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เพื่อเปิดกว้างการปรับดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ ยังมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในปีนี้ ส่วน ECB อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้วในปีนี้
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ส่วนในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ 31 ตุลาคม เป็นต้นไปนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง อัตราเงินเฟ้อในพื้นที่กรุงโตเกียว เดือนตุลาคม ข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่นำมาประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางนโยบายการเงินของ BOJ
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้ เพราะแม้ว่า ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดล่าสุด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทว่า ในช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่างข้อมูลการจ้างงาน จนกว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลง ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้น้ำหนักและความสนใจกับรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP มากขึ้น โดยเฉพาะหลัง ADP จะทยอยทำข้อมูลการจ้างงานรายสัปดาห์
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) ซึ่งต้องรอลุ้น ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม BOJ และถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดไม่ได้คาดหวังว่า BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนตุลาคมนี้ ทำให้มีความเสี่ยงที่ หาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด ก็อาจหนุนให้ เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น หรือแม้ว่า BOJ จะคงดอกเบี้ยตามคาด แต่หากมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นได้บ้าง แต่หาก BOJ คงดอกเบี้ยตามคาด และไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ที่ชัดเจน ก็อาจกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่นสามารถอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 153 เยนต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจพอช่วยหนุนเงินดอลลาร์ได้
เนื่องจากเรามองว่า เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน โดยเงินบาทยังพอมีโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจสอดคล้องกับการปรับโซนทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก และฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ทว่า ต้องระวังความผันผวนของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงขึ้นชัดเจน จากช่วงก่อนหน้า และมองว่า เงินบาทก็ยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงไปอีกสักระยะ


