รองเลขาฯ ก.ล.ต. ชี้การแจกเหรียญ Worldcoin (WLD) ไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ เพราะไม่มีการเสนอขาย แต่ไม่อาจยืนยันความถูกต้องตามกฎหมายของการสแกนม่านตาได้ เหตุโยงประเด็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องพิจารณาร่วมหลายหน่วยงาน
จากกรณีที่มีรายงานในสื่อมวลชนว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า การชักชวนให้ประชาชนสแกนม่านตาผ่านอุปกรณ์ “Orb” เพื่อรับเหรียญ Worldcoin (WLD) ไม่ได้เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และสามารถดำเนินการต่อได้ โดยอ้างว่าไม่มีผู้เสียหายเกิดขึ้นนั้น ล่าสุด ก.ล.ต. ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก ก.ล.ต. เปิดเผยว่า “การสแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญ WLD ถือเป็นการแจกฟรี ไม่ได้มีการเสนอขายต่อสาธารณะ ดังนั้นจึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561”
อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า การชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมสแกนม่านตายังเป็นประเด็นที่ ก.ล.ต. ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมและประมวลผล “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับใช้ของ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ย้ำว่า หน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่เฉพาะในการดูแลการเสนอขายและประกอบธุรกิจตามที่ พ.ร.ก. กำหนดเท่านั้น ส่วนประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การขอความยินยอม หรือการใช้เทคโนโลยีสแกนม่านตาเพื่อวัตถุประสงค์อื่น จำเป็นต้องให้หน่วยงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นผู้พิจารณา
ในช่วงที่ผ่านมา โครงการ Worldcoin ของ Sam Altman ผู้ก่อตั้ง OpenAI ได้รับความสนใจอย่างมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการแลกเหรียญ WLD กับการยืนยันตัวตนผ่านการสแกนม่านตา ซึ่งหลายหน่วยงานกำกับทั่วโลก รวมถึงสหภาพยุโรป เคยแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความโปร่งใสในการเก็บรักษาข้อมูลชีวมิติของประชาชน
ขณะที่ในประเทศไทย แม้จะยังไม่มีรายงานผู้เสียหายจากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว แต่ประเด็นนี้ได้จุดกระแสถกเถียงในวงกว้างถึงขอบเขตของ “ความสมัครใจ” ในการเปิดเผยข้อมูลชีวมิติ แลกกับผลตอบแทนในรูปแบบเหรียญดิจิทัล ซึ่งสะท้อนคำถามสำคัญต่ออนาคตของเทคโนโลยีระบุตัวตน และกรอบกฎหมายคุ้มครองข้อมูลในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล.


