xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ชาติจีนชี้ “Stablecoin” เป็นภัยต่อเสถียรภาพโลก ประกาศเดินหน้าปราบเข้มคริปโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้ว่าแบงก์ชาติจีนเดินหน้านโยบายเข้ม ชี้ Stablecoin สั่นคลอนระบบการเงินโลก กระทบอธิปไตยทางการเงินของชาติเล็ก เตรียมร่วมมือหน่วยงานความมั่นคงปราบคริปโตเต็มรูปแบบ พร้อมส่งสัญญาณตรวจเข้มตลาดต่างประเทศ

ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBoC) ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวต่อสกุลเงินดิจิทัล “Stablecoin” โดยระบุว่าเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงินโลก และอาจบั่นทอนอธิปไตยทางการเงินของประเทศเกิดใหม่ พร้อมย้ำเดินหน้าปราบปรามกิจกรรมคริปโตในประเทศอย่างต่อเนื่อง

พาน กงเซิง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการ PBoC กล่าวในที่ประชุม Financial Street Annual Meeting 2025 ที่กรุงปักกิ่งว่า Stablecoin ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินจริง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ได้กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ของระบบการเงินโลก

“Stablecoin ไม่เพียงเพิ่มความผันผวนให้ตลาด แต่ยังขาดมาตรฐานสำคัญด้านการกำกับดูแล เช่น การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และการป้องกันการฟอกเงิน (AML)” เขากล่าว

“กิจกรรมทางการเงินในรูปแบบ Stablecoin ยังไม่สามารถผ่านมาตรฐานกำกับดูแลได้ และเปิดช่องให้เกิดการโอนเงินผิดกฎหมาย การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการฟอกเงิน” พานกล่าวเสริม พร้อมย้ำว่า PBoC จะร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสกัดการดำเนินงานคริปโตที่ผิดกฎหมายในประเทศอย่างเข้มงวด

การประชุมประจำปีของ Financial Street Forum 2025 ที่ปักกิ่ง วันที่ 26 ตุลาคม 2025 ที่มา: VCG
จีนย้ำจุดยืน เดินหน้าผลักดันเงินหยวนดิจิทัล (e-CNY)

นับตั้งแต่ปี 2560 จีนได้สั่งแบนการซื้อขาย การขุด และการดำเนินการของแพลตฟอร์มคริปโตทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและผู้บริโภค ขณะเดียวกัน PBoC ยังคงผลักดัน “หยวนดิจิทัล (e-CNY)” ให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลแห่งรัฐที่ปลอดภัยกว่า และอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของภาครัฐ

พานยังระบุว่า PBoC จะติดตามการพัฒนา Stablecoin ในตลาดต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเติบโตของ Stablecoin ต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ตรึงกับดอลลาร์ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีนในระยะยาว

มูลค่าตลาด Stablecoin ทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์ จุดชนวนความกังวลทั่วโลก

ข้อมูลจาก DefiLlama ระบุว่า มูลค่ารวมของตลาด Stablecoin ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 308 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสองเหรียญหลักอย่าง Tether (USDT) และ USD Coin (USDC) ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกว่า 87% ขณะที่รายงานของ Andreessen Horowitz ระบุว่า เหรียญ Stablecoin ทั้งสองได้ดำเนินธุรกรรมรวมกว่า 27 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา

มูลค่าธุรกรรม Stablecoin ตลอด 12 เดือนล่าสุดแตะระดับ 46 ล้านล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับระบบโอนเงิน ACH ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโครงข่ายหลักของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่แม้ปรับลดธุรกรรมที่ไม่แท้จริงออกแล้ว มูลค่าธุรกรรมจริงยังอยู่ที่กว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่าครึ่งของปริมาณธุรกรรม Visa ทั่วโลก

การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) แสดงความกังวล โดยรัฐมนตรีการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางหลายประเทศเตือนว่า Stablecoin อาจสร้างความเสี่ยงเชิงระบบต่อเสถียรภาพการเงินโลก

นักเศรษฐศาสตร์จีนเตือน Stablecoin ดอลลาร์อาจบั่นทอนการใช้เงินหยวนในตลาดโลก

นักเศรษฐศาสตร์จีนบางรายเตือนว่า การเติบโตของ Stablecoin ที่ตรึงกับดอลลาร์ อาจกลายเป็น “อุปสรรคเชิงยุทธศาสตร์” ต่อการผลักดันเงินหยวนสู่สากล

หวัง หยงลี่ อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน เขียนบทความเตือนว่า หากหยวนดิจิทัล (e-CNY) ไม่สามารถแข่งขันกับประสิทธิภาพและการเข้าถึงทั่วโลกของ Stablecoin ดอลลาร์ได้ ความพยายามของจีนในการผลักดันเงินหยวนในระดับโลกอาจสะดุด

เขาเสนอให้รัฐบาลเร่งพัฒนา e-CNY และพิจารณาออก Stablecoin ที่อ้างอิงค่าเงินหยวนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะผ่านศูนย์กลางการเงินอย่างฮ่องกง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบการเงินดิจิทัลของประเทศ

ที่มา: DefiLlama
ปักกิ่งเบรก “Ant Group” และ “JD.com” ออกเหรียญ Stablecoin ฮ่องกง

ขณะที่ในรายงานล่าสุดระบุว่า หน่วยงานกำกับของจีน รวมถึง PBoC และสำนักงานไซเบอร์สเปซ ได้สั่งให้ Ant Group และ JD.com ระงับแผนการออกเหรียญ Stablecoin ในฮ่องกง โดยให้เหตุผลว่า “สิทธิ์ในการออกเงินตราควรเป็นของรัฐเท่านั้น”

ขณะเดียวกัน ฮ่องกงกลับเดินหน้าเปิดตลาดเสรีทางการเงินดิจิทัลอย่างชัดเจน โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางการฮ่องกงได้ออกกรอบอนุญาตพิเศษสำหรับการออก Stablecoin เชิงพาณิชย์เป็นแห่งแรกของโลก และเปิดรับใบสมัครจากบริษัทการเงินและบล็อกเชนกว่า 40 ราย รวมถึง Ant Group, JD.com, Circle และ Standard Chartered

อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยังคงยึดแนวทางเข้มงวด โดยเมื่อเดือนสิงหาคม หน่วยงานกำกับดูแลของจีนได้สั่งให้สถาบันการเงินและหน่วยงานวิจัยหยุดเผยแพร่รายงานหรือจัดสัมมนาที่ส่งเสริม Stablecoin โดยให้เหตุผลว่าอาจสร้างความเข้าใจผิดและกระตุ้นการเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

PBoC ย้ำ “บล็อกเชนมีคุณค่า แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบควบคุมที่เข้มงวด”

พาน กงเซิง กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า แม้เทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง แต่การประยุกต์ใช้ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน “สินทรัพย์เสมือนและอนุพันธ์ของมันต้องไม่บ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเงิน หรืออธิปไตยทางการเงินของรัฐ” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า PBoC จะดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องระเบียบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ