xs
xsm
sm
md
lg

‘ท๊อป จิรายุส’ โว!! กลางเวที "Bitkub Summit 2025" ซื้อ BTC ตอน $400 ETH ที่ $4 ชี้คนมีคริปโตเหนือกว่าคนรวย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ ‘ท๊อป บิทคับ’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Bitkub
ในงาน Bitkub Summit 2025 ‘ท๊อป จิรายุส’ CEO Bitkub เปิดใจเคยซื้อบิทคอยน์ตั้งแต่สมัยราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐ และ Ethereum ที่ตอนนั้นอยู่ที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ สะท้อนวิสัยทัศน์นักลงทุนรุ่นบุกเบิก ขณะที่ปฏิเสธประกันภัยชีวิตทุกประเภท โดยหันมาอธิบาย PPLI ประกันวางแผนภาษีสำหรับคนรวยที่คล้ายทรัสต์ แต่ย้ำว่าตนลงทุนแต่คริปโตเท่านั้น ท่ามกลางนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่เข้าตลาดดิจิทัล หวังจุดประกายแรงบันดาลใจ แต่ยังชี้ชวนให้พิจารณาความเสี่ยงและโอกาสในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในยุคที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกำลังดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่จำนวนมาก ซึ่งหลายคนเพิ่งเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง แต่มีใครบ้างที่จะรู้ว่า นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ ‘ท๊อป บิทคับ’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Bitkub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติไทย เคยซื้อบิทคอยน์ตั้งแต่ราคายังอยู่ที่หลักร้อยดอลลาร์สหรัฐ และอีเธอเรียมที่ราคาเพียงหลักหน่วยดอลลาร์สหรัฐซึ่งปัจจุบันราคาแตะ $4100 แล้ว

การเปิดเผยที่น่าทึ่งนี้เกิดขึ้นกลางเวทีงาน Bitkub Summit 2025 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ในช่วงเซสชัน panel discussion หัวข้อ “Topp table on stage unlocking wealth ปลดล็อกก้าวแรกสู่ความมั่งคั่ง” ซึ่งเป็นการสนทนาที่รวบรวมผู้นำทางธุรกิจและนักลงทุนชั้นนำมาร่วมแบ่งปันมุมมอง โดยในระหว่างบทสนทนาบนเวที นาย CK Cheong หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ซีเค” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Fastwork แพล็ตฟอร์มการจ้างงานอิสระได้ตั้งคำถามตรงไปตรงมาถึง ‘ท๊อป บิทคับ’ ว่า “พี่ท๊อปมีซื้อประกันภัยชีวิตบ้างไหมครับ?”

โดยทาง ‘ท๊อป บิทคับ’ ตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่เลยครับ มีแต่คริปโต ไม่มีประกันสุขภาพ ไม่มีประกันภัยอะไรเลย” แต่แทนที่จะจบเพียงคำตอบสั้น ๆ โดยเขาใช้โอกาสนี้ในการอธิบายแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการซื้อประกันภัยว่า "จริงๆ แล้ว ประกันภัยมีวัตถุประสงค์หลักสองประเภทใหญ่ๆ ประกันภัยประเภทแรกที่ทุกคนคุ้นเคยและเห็นด้วย คือประกันภัยทั่วไปที่บุคคลสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ด้วยตนเอง เพื่อแลกกับความคุ้มครองพื้นฐาน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ประชาชนทั่วไปรู้จักดี แต่ประกันภัยอีกประเภทหนึ่งคือประกันภัยเพื่อการวางแผนภาษี ที่เรียกว่า PPLI (Private Placement Life Insurance) ซึ่งพูดง่ายๆ คือประกันภัยสำหรับคนรวย ซึ่งผลิตภัณฑ์ PPLI ที่นำเสนอโดย Private Banking มีลักษณะคล้ายกับทรัสต์ (Trust) แต่ในทางปฏิบัติ มันคือ “สัญญาพิเศษ (Contract)” ที่อาศัยความเชื่อมั่นในผู้จัดการสินทรัพย์ (Trustee) ให้ดูแลทรัพย์สินภายในกรมธรรม์นั้นๆ

นอกจากนี้ ท๊อป บิทคับ ยังย้ำอีกว่า “คนทั่วไปเวลาซื้อประกัน เขาจ่ายเงินเพื่อแลกกับผลประโยชน์ในอนาคต แต่คนรวย เขาจ่ายด้วยทรัพย์สิน (Asset) ไม่ใช่เงินสด”

โดยโครงสร้างของประกันภัยแบบนี้จะถูกจัดในรูปแบบกองทุนรวม (Fund) ที่มีกองทุนย่อยเฉพาะทาง (Sub-Fund) เช่น กองทุนที่ดิน กองทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งผู้ทำประกันสามารถจ่ายเบี้ยด้วยสินทรัพย์เหล่านี้แทนเงินสดได้ และผู้รับผลประโยชน์ก็คือตัวผู้ทำประกันเอง เมื่อสินทรัพย์ภายในกองทุนเกิดผลประโยชน์หรือปันผล ก็ไม่ต้องเสียภาษี เพราะถือเป็นรายได้จากประกันภัย ไม่ใช่รายได้จากการลงทุนโดยตรง ซึ่งยังสามารถส่งต่อมรดกให้ลูกหลานได้โดยไม่ต้องเสียภาษีมรดก เพราะสินทรัพย์ทั้งหมดถูกจัดอยู่ในรูปของ “Wrapper” ที่สามารถส่งต่อได้ทั้งโครงสร้าง

นอกจากนี้ ‘ท๊อป บิทคับ’ ยังเล่าต่อถึงประกันภัยสำหรับคนรวยอีกประเภทหนึ่งที่เน้นการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับคนที่อายุน้อย เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งประกันภัยนี้จะนำเงินที่จ่ายไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แล้วจะให้ผลตอบแทนในอีก 50 ปีข้างหน้า โดยประกันภัยนี้เป็นเกรด A ระดับ AAA+ ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ธนาคารยอมรับและสามารถนำไปค้ำประกันที่ดิน แล้วกู้เงินออกมาได้ถึง 90% ของมูลค่า

ขณะที่เงินก้อนนี้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตรา 10% ผู้ทำประกันสามารถนำไปลงทุนใน S&P ต่อเนื่องได้ ส่วนที่ดินที่ใช้ค้ำประกันในธนาคารก็เพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆ แล้วสามารถดึงเงินออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่า ในวันที่ผู้ทำประกันเสียชีวิต จะเสียเพียง 10% ของเงินที่ฝากเท่านั้น

“ประกันแบบนี้มันไม่ใช่ประกันทั่วไป แต่มันคือ Financial Engineering ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินขั้นสูงในการวางแผนภาษีและมรดก" ท๊อปกล่าว
อย่างไรก็ตาม ‘ท๊อป บิทคับ ’ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ทั้งหมดที่กล่าวมาตนไม่ได้ทำเลยสักอย่างเดียว โดยเลือกที่จะลงทุนแต่ในคริปโตเคอร์เรนซีเท่านั้น

ก่อนที่บทสนทนาจะเข้าสู่จุดพีคสุด เมื่อซีเคถามตรง ๆ ว่า “พี่ท๊อปซื้อ Bitcoin ตั้งแต่ราคาเท่าไหร่ครับ?”

‘ท๊อป บิทคับ’ ตอบคำถามที่ทำให้ผู้ฟังทั้งฮอลล์ต้องตะลึงว่า “บิทคอยน์ 400 ดอลลาร์ ส่วน Ethereum 4 ดอลลาร์ แต่ไม่ได้ซื้อ Solana”

อย่างไรก็ตาม การที่ ‘ท๊อป บิทคับ’ ปฏิเสธเครื่องมือทางการเงินแบบดั้งเดิมอย่างประกันภัยชีวิต โดยหันมาพึ่งพาคริปโตเคอร์เรนซีเพียงอย่างเดียว ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นสูงสุดในเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดที่อาจกระทบต่อแผนการเงินระยะยาว

จากมุมมองเศรษฐกิจการอธิบาย PPLI และ Financial Engineering ของเขาเผยให้เห็นช่องทางวางแผนภาษีสำหรับบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง ซึ่งในบริบทไทยยังคงถูกจำกัดอยู่กับกลุ่มเศรษฐีและนักลงทุนสถาบัน โดยอาศัยโครงสร้างกองทุนและทรัสต์เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีปันผลและมรดก ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของทุนในระบบเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการฟอกเงิน

ในขณะเดียวกัน การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีตั้งแต่ราคาต่ำสุดของ ‘ท๊อป บิทคับ’ สะท้อนถึงกลยุทธ์ Buy and Hold ที่ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ การเข้าตลาดในช่วงราคาสูงอาจต้องอาศัยการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่หรือการปรับฐานตลาด

กรณีนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนไทย ที่ต้องผสมผสานระหว่างเครื่องมือทางการเงินดั้งเดิมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเร่งตัวอย่างไม่หยุดยั้งซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงสุดขั้ว และความผันผวนสุดขีด ทำให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน หรือล้มละลายในเวลาเพียงเสี้ยวนาที