ปฏิบัติการฟ้าสางของ ก.ล.ต. ร่วม บช.สอท. สะเทือนวงการคริปโตไทย บุกตรวจค้น 109 จุดทั่วประเทศ ทลายเครือข่ายธุรกิจเถื่อนรับสแกนม่านตาแลกเหรียญ Worldcoin โดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าข่ายผิด พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล สะท้อนช่องโหว่กำกับดูแลท่ามกลางความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลและการฟอกเงิน ขณะที่ประชาชนแห่สแกนตาแลกเงิน 840 บาทต่อราย แต่ตกเป็นเหยื่อกลโกงที่อาจนำไปสู่ภัยไซเบอร์ขั้นสูง รัฐเร่งยกระดับบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องนักลงทุนจาก scam ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ในห้วงเวลาที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ที่มิจฉาชีพใช้ประโยชน์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการฟ้าสาง บุกตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยที่ให้บริการรับแลกเหรียญ Worldcoin (WLD) ณ จุดสแกนม่านตา โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเข้าข่ายประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยมิชอบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงและการฟอกเงินที่อาจกระทบต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย
การตรวจค้นครั้งนี้ครอบคลุม 109 จุดทั่วประเทศ นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการ บช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการ บช.สอท. และเจ้าหน้าที่จาก ก.ล.ต. โดยพบเครือข่ายนายหน้าที่รับสแกนม่านตาผ่านเครื่อง Orb เพื่อลงทะเบียนรับเหรียญ WLD จำนวน 30 เหรียญต่อคน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 840 บาท จากนั้นนายหน้าจะรับซื้อเหรียญดังกล่าวในราคา 28 บาทต่อเหรียญ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 26 และมีโทษตามมาตรา 66 แห่งพระราชกำหนดฉบับเดียวกัน
ขณะที่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมจะเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายต่อไป โดยจะมีการแถลงผลปฏิบัติการอย่างละเอียดในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ณ กองบัญชาการ บช.สอท. เมืองทองธานี
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยในการแถลงข่าวร่วมกับ บช.สอท. ว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพต่อการป้องกันและปราบปรามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต และเป็นการปกป้องผู้ใช้บริการจากการไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย รวมถึงป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง (scam) และความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน” ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานรัฐในการรับมือกับภัยคุกคามในยุคดิจิทัล
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้แจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการกระทำที่อาจเข้าข่ายประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต และระมัดระวังการแลกเหรียญ WLD กับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งติดตามการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยกำชับให้ปฏิบัติตามเกณฑ์เกี่ยวกับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาให้บริการและการส่งเสริมการขาย โดยจะต้องไม่กระทำผิดกฎหมายและต้องไม่กระทำหรือสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากพบว่ามีการฝ่าฝืน ก.ล.ต. จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด
พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ขอเตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง (scam) รวมถึงความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” และสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้ที่ลิงก์ investor alert
ทั้งนี้ หากมีเบาะแสเกี่ยวกับการดำเนินการที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส” โทร. 1207 หรือผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นช่องทางที่ช่วยให้หน่วยงานสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการปราบปรามเครือข่ายเถื่อนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในการกำกับดูแลตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการอย่าง Worldcoin ซึ่งพัฒนาโดย Sam Altman ผู้ก่อตั้ง OpenAI ที่ใช้เทคโนโลยีสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนและแจกเหรียญ WLD ฟรี แม้จะมีจุดมุ่งหมายในการสร้างระบบยืนยันตัวตนสากล แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล โดยข้อมูลม่านตาที่ถูกเก็บอาจรั่วไหลนำไปสู่การสวมรอย การสร้าง Deepfake หรือการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
ขณะที่ในบริบทไทย การที่ประชาชนจำนวนมากแห่สแกนม่านตาเพื่อแลกเงินเพียง 840 บาท ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างด้านความรู้ทางการเงินดิจิทัล ซึ่งมิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากความโลภและความไม่รู้เท่าทัน ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งทางการเงินและข้อมูลส่วนตัว การบุกตรวจค้น 109 จุดยังบ่งชี้ถึงขนาดของเครือข่ายที่แผ่ขยายทั่วประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างที่เคยพบในกรณีเครือข่ายฟอกเงินผ่านคริปโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อตลาดคริปโตในไทยอาจนำไปสู่การเข้มงวดกฎระเบียบมากขึ้น โดย ก.ล.ต. อาจออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองนักลงทุน เช่น การตรวจสอบเทคโนโลยีชีวภาพในโครงการคริปโต หรือการร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อติดตามการฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง อาจเกิดกรณีคล้ายคลึงกันซ้ำรอย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่รัฐบาลกำลังผลักดัน
กรณีนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต้องอาศัยการตรวจสอบอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลชีวภาพซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ การบูรณาการระหว่าง ก.ล.ต. และ บช.สอท. ในครั้งนี้ แม้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังต้องพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในยุค AI และ Blockchain


