xs
xsm
sm
md
lg

เงินไหลออกจากไบแนนซ์พุ่ง! นักลงทุนแห่ “ถือแทนขาย” จับตาบิทคอยน์อาจทะลุ $1.3 แสนหากฝ่าด่าน $1.2 แสนได้สำเร็จ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สัญญาณเงินไหลออกจากไบแนนซ์เพิ่มมากขึ้น ชี้นักลงทุนสะสมบิทคอยน์หนาแน่น ขณะดัชนี MVRV ลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 365 วัน บ่งชี้จุดต่ำสุดรอบวัฏจักรใหม่ นักวิเคราะห์ชี้เส้นทางสู่ $130,000 ต้องผ่านแนวต้าน $120,000 ก่อนปลดล็อกขาขึ้นรอบใหญ่

นักลงทุนเลือก “ถือ” มากกว่า “ขาย” ชี้เข้าสู่ช่วงสะสมรอบใหม่

ข้อมูลล่าสุดจาก CryptoQuant ระบุว่า สัดส่วนการไหลออกของ Bitcoin (BTC) จากกระดานเทรดไบแนนซ์ (Binance) พุ่งขึ้นต่อเนื่องในช่วง 30 วันที่ผ่านมา โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 วัน (SMA30) อยู่ในแดนลบอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงแรงสะสมจากนักลงทุนที่ย้ายเหรียญออกจากตลาด เพื่อถือครองในกระเป๋าส่วนตัวแทนการเทขาย

นักวิเคราะห์มองว่าพฤติกรรมนี้สอดคล้องกับช่วง “สะสมก่อนการปรับขึ้นรอบใหม่ (Accumulation Phase)” ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะทะยานเข้าสู่ขาขึ้นครั้งใหญ่ โดยมีการคาดการณ์ว่า Bitcoin อาจพุ่งแตะ $130,000 ภายในสิ้นปี 2568 หากสามารถฝ่าด่านแนวต้านสำคัญเหนือ $120,000 ได้สำเร็จ

ที่มา: CryptoQuant
ดัชนี MVRV ดิ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 365 วัน สัญญาณจุดต่ำสุดรอบใหม่

การสะสมดังกล่าวยังได้รับการยืนยันจากดัชนี MVRV Ratio ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 365 วัน ซึ่งมักเป็นจุดกำเนิดของ “รอบฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด (Cyclical Bottom Formation)” ในอดีต

ข้อมูลจาก Shayan Markets ระบุว่า การร่วงต่ำกว่าค่าดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2564 , มิถุนายน 2565 และต้นปี 2567 ซึ่งแต่ละครั้งต่างตามมาด้วยแรงซื้อคืนอย่างรุนแรง และเป็นช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของราคาบิทคอยน์

นักวิเคราะห์เชื่อว่าขณะนี้บิทคอยน์อยู่ในโซนที่ “ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervaluation Zone)” ซึ่งนักลงทุนระยะยาวเริ่มทยอยสะสมเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หากดัชนี MVRV เริ่มปรับขึ้นจากจุดนี้ จะเป็นสัญญาณชัดเจนว่าการเทขายก่อนหน้านี้คือการสร้างฐานราคารอบใหม่ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นรอบถัดไปในไตรมาส 4 ปีนี้

ข้อมูลจาก Glassnode ยังสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยพบว่า อัตราส่วนบิทคอยน์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเกิน 1 ปี ต่อเหรียญที่ซื้อขายในช่วง 3 เดือนล่าสุด อยู่ที่ระดับ 3:1 แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือระยะยาวแม้ตลาดจะผันผวน

ที่มา: X/ Scottmelker
กระทิงเริ่มอ่อนแรง หลังพยายามยืนเหนือ $110,000 สองครั้งแต่ล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ล่าสุดสะท้อนแรงซื้อที่เริ่มอ่อนลง โดยฝั่งกระทิงพยายามผลักดันราคาให้ยืนเหนือระดับ $110,000 ถึงสองครั้งในวันที่ 13 และ 20 ตุลาคม แต่ไม่สำเร็จ

ราคาขยับจากจุดต่ำสุดราว $102,000 ขึ้นไปแตะ $111,000 ก่อนร่วงกลับมาที่แนวรับสำคัญบริเวณ $107,000 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ทำให้สัญญาณ “Bullish Divergence” ที่เคยก่อตัวเริ่มถูกลบ และเกิดสัญญาณ “Hidden Bearish Divergence” แทน

เทด พิลโลว์ นักวิเคราะห์คริปโตให้ความเห็นว่าการปรับตัวลงล่าสุดเป็น “การระบายสภาพคล่อง (Liquidity Sweep)” หลังราคาเข้าใกล้การปิดช่องว่างราคา CME (CME Gap) เขาประเมินว่าโซนระหว่าง $107,200–$107,400 จะถูกทดสอบอีกครั้งก่อนตลาดสหรัฐฯ เปิดทำการ จากนั้นอาจเห็นการดีดตัวระยะสั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นการกลับตัวขาขึ้นใหญ่

ที่มา:X/ RektCapital
แนวต้าน $120,000 คือประตูสู่ $130,000 หากยืนเหนือ $110,000 ได้มั่นคง

ในเชิงโครงสร้างตลาด ฌอน ยัง หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ MEXC Research ให้สัมภาษณ์กับ Cryptonews ว่า ความต้องการในตลาดอนุพันธ์ของบิทคอยน์เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่แนวโน้มระยะสั้นยังอยู่ในกรอบขาลง จึงจำเป็นต้องฝ่าระดับแนวต้าน $120,000 เพื่อยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้น

“หากบิทคอยน์ สามารถยืนเหนือแนวรับ $110,000 ได้อย่างมั่นคง โมเมนตัมเชิงบวกอาจเริ่มกลับมาอีกครั้ง และมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ $126,000 ซึ่งหากผ่านได้ จะเปิดเส้นทางสู่ $130,000 อย่างเต็มรูปแบบ” ฌอน กล่าว

ในด้านเทคนิค กราฟรายสัปดาห์ของ BTC/USD แสดงให้เห็นว่าราคายังคงเคลื่อนไหวบริเวณ $108,350 ใต้เขตแนวรับสำคัญ (Orange Zone) ที่เป็นระดับกลางของช่วงราคานับตั้งแต่ต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 สัปดาห์ (สีเขียว) เริ่มแบนตัวลง สะท้อนแรงซื้อที่ชะลอตัว และแท่งเทียนล่าสุดแสดงให้เห็นแรงขายที่ทดสอบแนวรับซ้ำหลายครั้ง

โซน $108,000-$109,000 จึงกลายเป็น “จุดหมุนสำคัญของตลาด (Critical Pivot Zone)” หากราคาปิดสัปดาห์ต่ำกว่าระดับนี้ อาจเป็นการยืนยันการปรับฐานลึกสู่แนวรับใหญ่ถัดไปที่ $103,000 แต่หากยืนเหนือระดับนี้และสามารถกลับขึ้นเหนือเส้น 21 สัปดาห์ได้อีกครั้ง จะเป็นสัญญาณฟื้นตัวสู่แนวต้านสำคัญ $123,500

นักวิเคราะห์มองว่าการปิดแท่งสัปดาห์นี้จะเป็น “จุดตัดสินชี้ทิศทาง” ว่าบิทคอยน์จะยืนยันการปรับฐานลงต่อ หรือเริ่มสร้างฐานใหม่เพื่อดีดกลับสู่เส้นทางขาขึ้นอีกครั้ง.