นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ แสดงความแข็งขันรปราบปราบพฤติกรรมผิดในตลาดหุ้นมาตลอด แต่หลายปีผ่านไป กลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งอาชญากร ยังดำรงอยู่ โดยยังเปิดปฏิบัติการต้มตุ๋น หลอกลวง ปล้นนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และสถิติอาชญากรรมหุ้น มีแนวโน้มสูงขึ้นเสียอีก
ล่าสุดนายกิติพงศ์ออกมาพูดถึงแนวทางการกวาดล้าง แก๊งโกงในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยระบุถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้กฎหมาย เพื่อลดระยะเวลาการดำเนินคดีความผิดในตลาดทุนให้เหลือเพียง1 ปี และเพิ่มอำนาจสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการสอบสวนความผิด การยึดและอายัดทรัพย์สิน และอำนาจการฟ้องร้องคดีต่อศาลโดยตรง
และการเพิ่มอัตราโทษปรับในคดีทางแพ่ง เพื่อสกัดผู้กระทำผิดที่ยอมจ่ายค่าปรับ และกลับมากระทำผิดซ้ำ โดยการผลักดันแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะมีความชัดเจนในอีกไม่นาน
การหาผลประโยชน์จากพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนมายาวนานกว่า 50 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้น ไม่ว่า การปั่นหุ้น การใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น และ การสร้างหรือแพร่ข่าวอันเป็นเท็จ หลอกลวงนักลงทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ ฯ จะติดตามตรวจสอบ เมื่อพบการกระทำความผิด จะส่งเรื่องให้ ก.ล.ต.พิจารณาความผิดและดำเนินการตามกฎหมาย
นายกิติพงศ์กล่าวถึงความจำเป็นในการเร่งรัดกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อจัดการปัญหาการทุจริตในตลาดทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. สำนักงานคณะกรรมกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตำรวจ อับการ และศาล
เพราะปัจจุบันคดีความผิดในตลาดหุน ต้องใช้เวลายาวนาน 2 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี คดีจะถึงที่สุด แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลาการดำเนินคดีลงให้เหลือเพียง 12 เดือน หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ปี
ปัญหาความล่าช้าคดีหุ้น ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเป็นต้องรอการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ ก.ล.ต. มีอำนาจสอบสวนได้รวดเร็วขึ้น การยึดอายัดทรัพย์สินโดยความร่วมมือกับ ปปง. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และการให้อำนาจ ก.ล.ต.ฟ้องร้องเองได้ ซึ่งช่วยสร้างความเกรงกลัวต่อผู้กระทำความผิด
ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ออกมาแสดงท่าทีขึงขัง เอาจริงต่อการกวาดล้างแก๊งโกงหุ้นให้สิ้นซากอีกครั้ง โดยชูประเด็นการแก้กฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจการสอบสวนและการฟ้องร้องให้ ก.ล.ต. ซึ่งถือเป็นแนวทางเชิงรุก เพื่อปราบปรามการกระทำความผิดในตลาดหุ้นทุกรูปแบบอย่างเด็ดขาก ปกป้องประชาชนจำนวนนับล้านคนที่ถูกปล้น
รากเหง้าการกวาดล้างแก๊งอาชญากรในตลาดหุ้นที่ประสบความล้มเหลวมาตลอด เกิดจากหลายเหตุปัจจัย แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ กฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยปัญหามักเกิดขึ้นในชั้นพนักงานสอบสวน
เพราะคดีหุ้นส่วนใหญ่ หลังจาก ก.ล.ต.กล่าวโทษแล้ว คดีมักเงียบหาย และสุดท้ายถูกตัดตอน ในชั้น DSI หรืออัยการ โดยการใช้ดุลบพินิจสั่งไม่ฟ้อง ทำให้คดีไม่ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล
แก๊งอาชกรหุ้นนับร้อย ๆ คน หลุดรอดลอยนวล ประชาชนผู้ลงทุนนับล้านคน ต้องถูกเซ่นสังเวย ถูกปล้น ถูกโกงจนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่จับตัวคนที่ก่อกรรมทำเข็ญมาลงโทษไม่ได้
การที่ ก.ล.ต. ต้องใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยการปรับผู้กระทำผิดการใช้ข้อมูลภายในหรือการปั่นหุ้น ซึ่งเป็นมาตรลงโทษที่เบาหวิว และไม่ทำให้เหล่าอาชญากรในตลาดหุ้นเกรงกลัว เนื่องจากการกล่าวโทษทางอาญา มักเป็นการเตะหมูเข้าปากเสือ คดีส่วนใหญ่ของ ก.ล.ต.ถูกฆ่าตัดตอน
ข้อมูลหลักฐานการกระทำผิดที่ตลาดหลักทรัพย์ ฯ และก.ล.ต.ตรวจสอบรวบรวม โดยใช้เวลานานหลายปี สุดท้ายกลายเป็นการสูญเปล่า ทั้งสองหน่วยงานเหนื่อยเปล่า เพราะพนักงานสอบสวนหรืออัยการสั่งไม่ฟ้อง
การให้อำนาจ ก.ล.ต.ในการสอบสวนคดีในตลาดหุ้น อายัดหรือยึดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และฟ้องร้องต่อศาลได้โดยตรง จะเป็นจุดเริ่มต้น ในการกวาดล้างบรรดามิจฉาชีพและอาชญากร ที่ปล้นนักลงทุน สร้างความเสียหายในตลาดหุ้น และทำลายความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยมายาวนาน
และภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของ ก.ล.ต. ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน รวมทั้ง DSI อย่างน้อย ก.ล.ต.ก็ไม่เคยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการวิ่งเต้นล้มคดีหุ้น ไม่มีการเรียกรับหรือต่อรองผลประโยชน์เพื่อเป่าคดี
นายกิติพงศ์ แสดงจุดยืน กวาดล้างแก๊งโกงหุ้น เพื่อสร้างความสะอาดในตลาดหุ้น สร้างความบริสุทธิยุติธรรมให้นักลงทุนมาตลอดนับแต่เข้ารับตำแหน่ง แต่เจตนารมณ์ที่ดี ยังก้าวไปไม่ถึงความฝันที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม เวลายังมีให้สำหรับประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์คนนี้ และเป็นคนแรกที่ประกาศตัวออกมาชนกับแก๊งโกงในตลาดหุ้น
การกวาดล้างมิจฉาชีพและอาชญากรในตลาดหุ้นให้สินซาก คงต้องฝากความหวังไว้กับ ”กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ขอให้เดินหน้าต่อไปจนสุดซอย


