xs
xsm
sm
md
lg

DSI ส่งคืนทรัพย์ "พีมายเนอร์" 251 ล้านบาท ให้ ปปง. เยียวยาผู้เสียหายคริปโตกว่า 600 ราย ท่ามกลางภัยหลอกลงทุนระบาดหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คดีหลอกลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีของ "พีมายเนอร์" กลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับนักลงทุนไทย DSI ส่งมอบทรัพย์สินยึดอายัดมูลค่า 251 ล้านบาท ให้ ปปง. เพื่อเฉลี่ยคืนผู้เสียหายกว่า 630 ราย ที่สูญเงินรวม 870 ล้านบาท ท่ามกลางกระแสเตือนภัยจากกระทรวงยุติธรรมว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรูปแบบนี้ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐสะท้อนความพยายามในการปกป้องประชาชน แต่คำถามสำคัญคือ จะเพียงพอต่อการยับยั้งกลโกงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัลหรือไม่

ในยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซีกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่กลับกลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน คดีหจก.พีมายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงความเสี่ยงในตลาดนี้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ยึดและอายัดมูลค่ากว่า 251 ล้านบาท ให้กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเยียวยาความเสียหายจากคดีหลอกลงทุนที่สร้างความสูญเสียทางการเงินมหาศาล


พิธีส่งมอบดังกล่าวมี พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ซึ่งสะท้อนถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐในการจัดการอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน

ขณะที่รายละเอียดทรัพย์สินที่ยึดและอายัดรวมกว่า 264 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 251 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินฝากในบัญชีธนาคารกว่า 113 ล้านบาท สินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ารวม 49 ล้านบาท บ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม และรถยนต์หรูหลากหลายยี่ห้อ เช่น Bentley, Porsche, Ferrari, Lamborghini, BMW รวมถึงรถจักรยานยนต์ Harley Davidson และ Indian นอกจากนี้ยังรวมถึงกรมธรรม์ประกันชีวิตและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยสะท้อนถึงวิถีชีวิตฟุ่มเฟือยของผู้ต้องหาที่ใช้เงินจากกลโกงดังกล่าว


ทั้งนี้คดีนี้ถูกจัดเป็นคดีพิเศษที่ 290/2565 เกิดจากการหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุนซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีและทำเหมืองขุดบิทคอยน์โดยอ้างผลตอบแทนสูงเกินจริงถึงร้อยละ 69-419 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงจนน่าตั้งข้อสงสัย แต่กลับดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่หวังผลกำไรรวดเร็ว

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI เปิดเผยว่า มีผู้เสียหายกว่า 630 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 870 ล้านบาท คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดและออกหมายจับผู้ต้องหา 5 ราย ซึ่งประกอบด้วยบุคคล 4 รายและนิติบุคคล 1 แห่ง โดยผู้ต้องหาเหล่านี้เป็นครอบครัวเดียวกัน และบางรายได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือ

ขณะนี้ DSI ได้ส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ ปปง. เพื่อเข้าสู่กระบวนการเฉลี่ยคืนตามกฎหมาย โดยประชาชนที่เป็นผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินเยียวยาได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน ถึง 23 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดเพื่อให้ผู้เสียหายไม่พลาดโอกาสในการเรียกคืนสิทธิ์

นอกจากนี้นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สิน เงินที่ได้จะถูกนำมาเฉลี่ยคืนให้ผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหาย โดยเน้นย้ำว่า “ผู้เสียหายควรรีบยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์รับเงินคืนจากทรัพย์สินที่ยึดได้” ซึ่งสะท้อนถึงความเร่งด่วนในการดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน


ในส่วนของ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะคดีหลอกลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “คดีนี้ถือเป็นตัวอย่างของการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ที่สามารถติดตามทรัพย์และคืนให้ผู้เสียหายได้ในสัดส่วนสูง สะท้อนถึงความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมเตรียมจัดทำรายงานสถานการณ์หลอกลวงการลงทุนประจำวัน เพื่อเตือนภัยประชาชน และเร่งสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

การวิเคราะห์คดีนี้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ยังขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวดพอ แม้ผลตอบแทนที่อ้างจะสูงลิ่ว แต่ความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงก็สูงไม่แพ้กัน ผู้ต้องหาใช้กลยุทธ์อ้างผลตอบแทนเกินจริงเพื่อดึงดูดเหยื่อ ซึ่งเป็นรูปแบบคลาสสิกของแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบดิจิทัล การที่ผู้ต้องหาหลบหนีข้ามพรมแดนยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

ขณะที่จากมุมมองเศรษฐกิจ การสูญเสียเงินทุนของผู้เสียหายกว่า 870 ล้านบาท ไม่เพียงกระทบต่อบุคคล แต่ยังสะท้อนถึงความไม่มั่นคงในระบบการลงทุนดิจิทัลของไทย ซึ่งอาจทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกกฎหมาย การเยียวยาผ่านการเฉลี่ยคืนทรัพย์สิน แม้จะเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด ส่งผลให้ผู้เสียหายบางรายอาจต้องแบกรับภาระหนี้สินต่อไป

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเตรียมจัดทำรายงานเตือนภัยประจำวัน ถือเป็นก้าวย่างที่เฉียบคมในการป้องกันล่วงหน้า แต่คำถามสำคัญคือ จะสามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้างได้เพียงใด โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ค่อยติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ การสร้างความตระหนักรู้ต้องอาศัยช่องทางหลากหลาย ทั้งสื่อสังคมออนไลน์และการศึกษาในระดับชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะระหว่างการลงทุนที่แท้จริงกับกลโกง

ดังนั้นกรณี "พีมายเนอร์" จึงไม่ใช่เพียงคดีอาชญากรรม แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการยกระดับกฎหมายและเทคโนโลยีในการปกป้องนักลงทุน ในขณะที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเติบโตอย่างรวดเร็ว การบูรณาการระหว่าง DSI ปปง. และกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ แม้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังต้องพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่วิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง