xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าบาทเปิดที่ 32.89-แนวโน้มทยอยอ่อนค่า-ติดตามราคาทองคำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(21ต.ค.68) ที่ระดับ 32.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.78 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up ทะลุโซนแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ (แกว่งตัวในกรอบ 32.73-32.91 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ (ได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น ตอบรับข่าว Sanae Takaichi ชนะโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น) ที่มาพร้อมกับ การปรับฐานอย่างรุนแรงของราคาทองคำ (XAUUSD) โดยราคาทองคำดิ่งลงกว่า -5% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เข้าใกล้โซน 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวรุนแรงของราคาทองคำดังกล่าวก็สะท้อนถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดด้วยเช่นกัน ทั้งในฝั่ง Long ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น) ที่ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว หรือบางส่วนก็อาจถูก Stop Loss ส่วนฝั่ง Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ก็อาจทยอยเพิ่มสถานะดังกล่าวโดยเฉพาะหลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ทำให้กราฟราคาทองคำรายชั่วโมงอาจเข้ารูปแบบ Double Tops สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BI อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น อีกครั้ง หลังราคาทองคำปรับตัวลงรุนแรงในช่วงคืนที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้พอสมควร (Beta หรือ Sensitivity ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงจะอยู่ที่ราว 0.2)

อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูง ทำให้ตราบใดที่ประเด็นความเสี่ยงซึ่งกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ความกังวลต่อสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ ใหญ่ ไม่ได้คลี่คลายลงอย่างชัดเจน เรามองว่า ราคาทองคำก็อาจพอมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง (ตามลักษณะของภาวะผันผวนสูง) ซึ่งอาจมาจากทั้งแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึง การปิดสถานะหรือปรับลดสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำลดลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยหากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่อง โดยเราเริ่มเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งควรจับตาแรงซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาพอสมควร สวนทางกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปี โดยเรารประเมินว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย เหนือโซน 1.75% ก็ถือว่าเป็นระดับที่ Fairly Valued หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.25% ได้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก และผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ/ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว ทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนัก

ส่วนเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน
กำลังโหลดความคิดเห็น