xs
xsm
sm
md
lg

Visa ชี้สเตเบิลคอยน์จ่อพลิกโฉมตลาดเครดิตโลกหลายล้านล้านดอลลาร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“Visa” ออกรายงานวิจัยชี้สินทรัพย์ดิจิทัลที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์ (Stablecoin) กำลังเปลี่ยนบทบาทจากเครื่องมือซื้อขายในตลาดคริปโต สู่โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของระบบสินเชื่อโลก พร้อมชี้ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะปฏิวัติวิธีปล่อยกู้และประเมินเครดิตในยุคดิจิทัล

บริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่ของโลก Visa เผยรายงานวิจัยฉบับล่าสุด ระบุว่า “สเตเบิลคอยน์” หรือเหรียญดิจิทัลที่ตรึงมูลค่ากับเงินดอลลาร์ ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจากเครื่องมือในตลาดคริปโต สู่การเป็น “โครงสร้างหลัก” ที่กำลังหล่อหลอมระบบสินเชื่อโลกยุคใหม่ ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายล้านล้านดอลลาร์

โดยในรายงาน Visa ระบุว่า “สเตเบิลคอยน์ได้วิวัฒน์จากเครื่องมือซื้อขายในตลาดคริปโต มาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนระบบสินเชื่อรูปแบบใหม่ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าธุรกรรมปล่อยกู้สะสมแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์”

นอกจากนี้ Visa ชี้ว่าแนวโน้มดังกล่าวกำลังสร้างทั้ง “โอกาสและความจำเป็น” ให้กับธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ที่ต้องเร่งทำความเข้าใจว่า “เงินโปรแกรมเมเบิล” (Programmable Money) จะเปลี่ยนโฉมตลาดเครดิตอย่างไรในอนาคต

สามกลไกปฏิวัติตลาดเครดิต "สเตเบิลคอยน์เชื่อม TradFi กับ DeFi"

รายงานของ Visa ระบุว่า สเตเบิลคอยน์มีศักยภาพในการพลิกโฉมตลาดสินเชื่อแบบดั้งเดิม (Wholesale Credit Market) ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1. การเปิดปลดล็อกสินทรัพย์โทเคน (Tokenized Assets) - สินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกแปลงเป็นโทเคนบนบล็อกเชน อาจถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันในตลาดสินเชื่อได้ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสินเชื่อแบบดั้งเดิมเข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างราบรื่น

2. การขยายบทบาทของโปรแกรมสินเชื่อคริปโต (Crypto Credit Programs) - ผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำเหรียญของตนมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้ยืมได้โดยตรง เพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด และลดขั้นตอนการพึ่งพาคนกลาง

3.การสร้างระบบประเมินเครดิตดิจิทัล (On-chain Credit Scoring) - ด้วยการนำข้อมูลธุรกรรมและประวัติการถือครองสินทรัพย์บนกระเป๋าเงินดิจิทัลมาประมวลผลเพื่อวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้กู้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนของระบบสินเชื่อโลก

ยุคใหม่ของเครดิตดิจิทัล “ตัวตนบนเชน” และการประเมินแบบไร้การเปิดเผยข้อมูล

Visa ยังชี้ว่า ขั้นตอนต่อไปของการพัฒนา คือการสร้าง “ตัวตนดิจิทัลบนเชน” (On-chain Identity) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถถูกประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกเหมือนระบบปัจจุบัน

“นวัตกรรมระลอกต่อไปมุ่งแก้โจทย์นี้ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี on-chain identity และ credit scoring ที่ใช้การวิเคราะห์ประวัติธุรกรรมของกระเป๋าเงินดิจิทัล การถือครองสินทรัพย์ และปฏิสัมพันธ์กับโปรโตคอลต่าง ๆ เพื่อสร้างโปรไฟล์เครดิต ขณะเดียวกันยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยเทคนิคอย่าง Zero-Knowledge Proofs”

รายงานดังกล่าวตอกย้ำว่า โลกกำลังเคลื่อนไปสู่ระบบสินเชื่อที่ “ไร้ขอบเขต” และ “โปร่งใส” มากขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) กับโลกสินทรัพย์ดิจิทัล (DeFi) เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

อย่างไรก็ดีในบริบทของตลาดเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ที่ภาครัฐและสถาบันการเงินกำลังเดินหน้าทดสอบโครงสร้างการชำระเงินด้วยบล็อกเชนอย่างจริงจัง รายงานของ Visa ยิ่งสะท้อนว่ากระแสการบูรณาการระหว่างระบบสินเชื่อดิจิทัลกับตลาดการเงินดั้งเดิม กำลังจะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของโลกการเงินในอนาคตอันใกล้นี้.