xs
xsm
sm
md
lg

ทองคำยังมีแรงขยับขึ้นต่อถึงปีหน้า ธนาคารกลางทั่วโลกทุ่มซื้อไม่มีแผ่ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 ราคทองคำยังไปต่อ นักวิเคราะห์เชื่อมีโอกาสได้เห็นสถิติใหม่ๆในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ให้เป้าหมายสูงถึง 4,400 - 4,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาทองคำแท่งในประเทศเพิ่มขึ้น 4,000 บาท จากปัจจัยหนุนการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และการแห่กักตุนทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกที่แรงไม่เลิก 





 ราคาทองคำแท่งไทยล่าสุด (18 ต.ค.68) ผันผวนเป็นอย่างมาก ปิดที่รับซื้อ 65,900 บาท ขายออก 66,000 บาทลดลง 1,200 บาท หลังจากก่อนหน้า1 วันนี้ (17 ต.ค.) รับซื้อ 67,150 บาท ขายออก 67,250 บาทลดลง 1,200 บาท เพิ่มขึ้น 1,900 บาท และหากพิจารณาเพียง 5 วันทำการก่อนหน้า (13-17ต.ค.68) พบว่าราคาทองคำแท่งประตัวเพิ่มขึ้นถึง 5,100 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงในวันที่ 18 ต.ค.ลงมา 1,200 บาท ทำให้ภาพรวมทั้งสัปดาห์ราคาทองคำแท่งในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 3,900 บาท
โดยรวมราคาทองคำทั่วโลกได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ในช่วงปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงปี 2568 โดยทะยานสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ปรากฏการณ์นี้ตอกย้ำถึงสถานะของทองคำในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัยขั้นพื้นฐาน" ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน

ทำให้ทีมงาน “ผู้จัดการรายวัน360” ทำการรวบรวมและวิเคราะห์มุมมองจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกในสองทวีปหลัก ได้แก่ ยุโรปและเอเชีย เพื่อฉายภาพทิศทางที่ชัดเจนของราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน จนถึงสิ้นปี 2568 และช่วงต้นปี 2569 โดยเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนตลาดทองคำให้เข้าสู่ยุคใหม่ของราคาที่สูงขึ้น
จากการรวบรวมพบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าแนวโน้มราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้น (Bullish) อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งเสริมคือแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และแรงซื้อสะสมอย่างเป็นระบบของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังกว่าปัจจัยระยะสั้นอื่น ๆ
 


ฟากยุโรปเชื่อทองขึ้นต่อแต่มีความเสี่ยง

เริ่มที่ สถาบันการเงินในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลก มีมุมมองที่ระมัดระวังแต่ยังคงเป็นบวกในระยะยาวต่อราคาทองคำ โดยมุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงด้านหนี้สินและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในอนาคต

โดย Deutsche Bank เป็นหนึ่งในสถาบันที่มีการเงินมีการปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนไป เริ่มที่ช่วงสิ้นปี 2025 คาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยทองคำจะอยู่ที่ประมาณ 3,291 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยสำหรับปี 2026 ขึ้นไปที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2026  พวกเขามองว่าราคาทองคำยังมี “ช่องว่างให้วิ่งต่อ” (further headroom to run) และมีแนวโน้มที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อไป

การคาดการณ์ที่แข็งแกร่งนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานหลักคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rates) ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงปี 2026 การลดลงของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน (Non-Yielding Asset) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ความน่าดึงดูดใจของทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยแล้ว Deutsche Bank ยังชี้ถึงความท้าทายต่อความเป็นอิสระของ Fed และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองโลกที่ยังคงเป็นแรงหนุน อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังได้เตือนถึงปัจจัยกดดันที่อาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงได้ เช่น หากตลาดหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงอย่างต่อเนื่อง หรือหาก Fed ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้ทิศทางราคาทองคำในช่วงปลายปี 2025มีความผันผวนสูง

ขณะที่ Commerzbank ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดทองคำโลก โดยเฉพาะบทบาทของธนาคารกลาง โดยมีมีมุมมองในเชิงบวกที่สอดคล้องกับ Deutsche Bank ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาทองคำโลกจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นต่อไปถึง 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2026 การคาดการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารมองว่าแรงซื้อที่กำลังเข้ามาในตลาดนั้นเป็นไปอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ Commerzbank ชี้ให้เห็นว่าแรงขับเคลื่อนหลักได้เปลี่ยนจากกองทุน ETF ทองคำ ไปสู่การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างมีนัยสำคัญในช่วงสามปีที่ผ่านมา แรงซื้อในลักษณะนี้ถือเป็นแรงซื้อเชิงโครงสร้างที่มั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ตลาดในระยะสั้น นอกจากนี้ พวกเขายังเน้นย้ำถึงความน่าดึงดูดใจของทองคำในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจาก หนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโลก

ไม่เพียงเท่านี้ Commerzbank มองว่าในยุคของโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World) ซึ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการรักษามูลค่าทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งต้องการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-Dollarization) ทำให้ความต้องการทองคำยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026




 เอเชียยกให้ธนาคารกลางคือปัจจัยหนุนหลัก

สำหรับสถาบันการเงินในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดทองคำทางกายภาพที่สำคัญที่สุดของโลก มีมุมมองที่เป็นบวกอย่างชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับแรงซื้อในภูมิภาคและผลกระทบจากค่าเงิน เริ่มที่ ANZ (Australia and New Zealand Banking Group) ถือเป็นสถาบันที่ให้ราคาเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค

โดย ANZ คาดการณ์ว่าราคาทองคำโลกจะพุ่งแตะระดับ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025 และมีโอกาสขึ้นไปถึง 4,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ภายในช่วงกลางปี 2026 การคาดการณ์นี้สะท้อนความเชื่อมั่นว่าปัจจัยเชิงบวกหลายอย่างกำลังมาบรรจบกันในช่วงปี 2025-2026

ส่วนแนวโน้มราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลักสามประการที่เกื้อหนุนกัน ประการแรกคือ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ที่กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ประการที่สองคือ การสะสมทองคำของธนาคารกลาง ที่เป็นแรงซื้อเชิงโครงสร้าง และประการที่สามคือ การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลง และสนับสนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามแม้ ANZ จะเน้นปัจจัยระดับโลก แต่ยังเน้นถึงบทบาทของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่ยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาทองคำในสกุลเงินท้องถิ่นทำสถิติสูงสุดใหม่ การซื้อเพื่อเก็งกำไรและการซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่น (เช่น เงินบาท) จะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญ

ขณะที่ UOB ธนาคารจากสิงคโปร์ เป็นอีกหนึ่งสถาบันที่เน้นถึงความสำคัญของแรงซื้อเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางแม้ว่าการคาดการณ์แรก ๆ ของ UOB จะอยู่ที่ประมาณ 2,700 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ในช่วงกลางปี 2025 แต่เมื่อราคาทองคำโลกได้ทำลายสถิติอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะไปต่อในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของวาณิชธนกิจระดับโลกอื่น ๆ ที่มีการปรับเป้าหมายขึ้น

โดย UOB ให้ความสำคัญกับปัจจัย การสะสมทองคำของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องมาหลายปี แรงซื้อที่ไม่คำนึงถึงราคาในระยะสั้นของธนาคารกลางเหล่านี้ มีส่วนสำคัญในการกำหนดราคาพื้นฐานของทองคำให้สูงขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำยังคงเป็นทางเลือกแรกในการป้องกันความเสี่ยง

ขณะเดียวกัน UOB มองว่าแม้จะมีโอกาสเกิดการพักฐานหรือการเทขายทำกำไรในระยะสั้น แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นบวก การเข้าซื้อทองคำเพื่อวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน และเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อหรือความขัดแย้ง ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569

 






ปัจจัยในการขับเคลื่อนทองคำ

ทั้งนี้จากการวิเคราะห์มุมมองข้ามทวีป สามารถสรุปปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่สนับสนุนให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นและรักษาระดับราคาใหม่ได้จนถึงปี 2569 เริ่มที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในระยะกลาง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มเข้าสู่วงจรการลดอัตราดอกเบี้ยภายในปี 2568 และต่อเนื่องในปี 2569 การลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลง และเมื่อเข้าใกล้ศูนย์หรือติดลบ จะทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำลดลงอย่างมาก

ขณะเดียวกันการลดอัตราดอกเบี้ยมักจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น และกระตุ้นความต้องการซื้อ

ปัจจัยถัดมาคือ แรงซื้อเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะจากตลาดเกิดใหม่และประเทศในกลุ่ม BRICS ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่มั่นคงและสม่ำเสมอที่สุดในตลาดปัจจุบัน การเข้าซื้อนี้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาดอลลาร์ หลังเหตุการณ์คว่ำบาตรทางการเงินต่อรัสเซีย ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศมองว่าการถือครองทองคำเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าในการรักษามูลค่า ไม่เพียงเท่านี้แรงซื้อของธนาคารกลางเป็นแรงซื้อที่ไม่ได้อ่อนไหวต่อราคาในระยะสั้น ทำให้ราคาทองคำมีระดับพื้นฐานที่สูงขึ้นอย่างถาวร

ส่วนปัจจัยที่ 3 คือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงทางการเมือง กล่าวได้ว่าความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในยุโรปและตะวันออกกลาง รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโลก ในสภาวะดังกล่าว ทองคำจะถูกมองว่าเป็น "ประกันความเสี่ยง" ที่สำคัญที่สุด โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งหลบภัย (Safe Haven) เมื่อความเสี่ยงทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้น

และปัจจัยผลักดันสุดท้ายคือ หนี้สาธารณะโลกและแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ต้องยอมรับว่าระดับหนี้สาธารณะที่สูงเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ทำให้ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการคลังระยะยาวลดลง สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากการพิมพ์เงินเพื่อชดเชยหนี้ รวมถึงความกังวลต่อเสถียรภาพของสกุลเงินที่ใช้หนี้เป็นหลัก



ทองคำกำลังปรับฐานราคาใหม่

โดยรวมแล้ว นักวิเคราะห์จากทั้งสองทวีปต่างเห็นพ้องว่าราคาทองคำกำลังเข้าสู่ยุคที่ราคาสูงขึ้นอย่างถาวร (Structurally Higher Price Regime) โดยสรุปนักวิเคราะห์มองราคาทองคำอยู่ที่ ระดับ 4,000-4,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่การที่ราคาจะขยับข้นถึงเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องมีปัจจัยเร่งอย่างน้อยสองประการเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569
ได้แก่ Fed ดำเนินการลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว (Aggressive Rate Cuts)หรือ หาก Fed ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยรวมกันเกินกว่า 100-150 Basis Points ในปี 2569 อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรงกว่าคาด หรือมีวิกฤตการณ์ทางการเงินเกิดขึ้น

ปัจจัยถัดมาคือ วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นพร้อมกัน (Escalating Geopolitical Crisis ในเงื่อนไขหากความขัดแย้งในตะวันออกกลางขยายวงกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในทันที

จากข้อมูลข้างต้นซึ่งเป็นมุมมองจากสถาบันการเงินชั้นนำในยุโรปและเอเชียชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ราคาทองคำกำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐานราคาพื้นฐานขึ้นสู่ระดับใหม่ โดยปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ Fed ไปสู่การผ่อนคลาย และการซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก

สำหรับนักลงทุน การเข้าสู่ช่วงสิ้นปี 2568 และต้นปี 2569 ควรพิจารณาว่า ในระยะยาว ทองคำยังคงเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนเพื่อการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ขณะที่ในระยะสั้น การซื้อควรเน้นที่การ "ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว" (Buy on Dip) เนื่องจากราคาทองคำที่สูงขึ้นอาจกระตุ้นให้เกิดการเทขายทำกำไรในระยะสั้นได้

ส่วนความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือความเสี่ยงจากการที่ Fed อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าคาด (Higher for Longer) หรือการที่ปัญหาเงินเฟ้อกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับฐานลงมายังแนวรับสำคัญได้


กำลังโหลดความคิดเห็น