แม้จะฟอกตัว เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงใหม่ แต่พฤติกรรมบริษัท สเตลล่า เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STELLA ไม่เคยเปลี่ยน และกำลังเปิดธุรกรรมเล่นแร่แปรธาตุภาคที่ 2 จนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องสั่งชี้แจงข้อมูลของธุรกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นด่วน ภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้
ก.ล.ต.ออกประกาศเตือนด่วน ขอให้ผู้ถือหุ้น STELLA ศึกษาข้อมูลและเข้าร่วมประชุมเพื่อใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 กรณีการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) สัดส่วนร้อยละ 3.25 โดยชำระราคาด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ (PP) แทนการใช้เงินสดให้แก่ผู้ขาย โดย 9 จาก 21 รายของผู้ขายหุ้นเป็นบุคคล เกี่ยวโยงกับ STELLA
และการออกหุ้นเพิ่มทุนจะกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) คิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 32.48 ขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ให้ความเห็นว่า ผู้ถือหุ้นของ STELLA ควรพิจารณาไม่ อนุมัติการเข้าทำรายการในครั้งนี้เนื่องจากราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุน PP ไม่เหมาะสม โดยต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
มูลค่าหุ้นของ WEH ที่ STELLA จะเข้าซื้อในครั้งนี้หุ้นละ 400 บาท และราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STELLA ที่จะใช้ในการชำระค่าตอบแทนกำหนด ราคาไว้ที่หุ้นละ 0.20 บาท หรือเทียบเท่ากับอัตราแลกหุ้น 1 หุ้นสามัญของ WEH ต่อ 2,000 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STELLA
IFA เห็นว่า แม้การเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้น WEH ในครั้งนี้มีความสมเหตุสมผลและมีความเหมาะสมในด้านการเข้าทำ รายการ เนื่องจากการลงทุนในหุ้น WEH ร้อยละ 3.25 จะทำให้ STELLA มีสิทธิได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้นประมาณ 40.33 – 107.91 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องของ STELLA และสามารถนำไปชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้น
แต่ราคาหุ้นของ STELLA ตามวิธีที่ IFA เห็นว่า มีความเหมาะสมราคาอยู่ระหว่าง 0.66 - 0.68 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นที่เสนอขาย PP ที่ 0.20 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ อัตราแลกหุ้นที่เหมาะสมคือ 1 หุ้นสามัญของ WEH ต่อ 618 - 667 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STELLA
ดังนั้นราคาเสนอขายหุ้น PP ในครั้งนี้ไม่เหมาะสม ผู้ถือหุ้น STELLA จึงไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการ
ก.ล.ต.จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและรอบคอบ พร้อมทั้งสอบถามคณะกรรมการและผู้บริหาร STELLA ถึงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับข้อมูลครบถ้วนในการ ประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นด้วย
STELLA เปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัท ณุศาสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 โดยบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ มีธุรกรรมอันต้องสงสัยอยู่มากมาย จนถูก ก.ล.ต. สั่งให้ชี้แจงข้อมูลการทำธุรกรรมนับครั้งไม่ถ้วน
กลุ่มนายประเดช กิตติอิสรานนท์ นักลงทุนรายใหญ่ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน STELLA และควบคุมอำนาจการบริหารเบ็ดเสร็จ คณะกรรมการคนอื่นๆเป็นเพียงตัวประกอบ
ธุรกรรมเล่นแร่แปรธาตุ นำหุ้น STELLA ไปแลกกับหุ้น WEH ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 โดยเข้าไปซื้อหุ้น WEH จำนวน 29 ล้านหุ้น โดยนำหุ้น NUSA จำนวน 405 ล้านหุ้นแลกกับหุ้น WEH1 หุ้น
ทำให้กลุ่มนายประเดชมีเสียงโหวตเพิ่มขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้น WEH และสามารถคุมอำนาจบริหารงานใน WEH ได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดย WEH ได้กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่กลุ่มนายประเดชเก็บเกี่ยวได้ตลอดไป แม้จะมีเรื่องฟ้องร้องกับกลุ่มนายณพ ณรงค์เดช ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ WEH อีกกลุ่ม รวมทั้งการฟ้องร้องหุ้นที่นายณพขายให้นายประเดช แต่ยังชำระเงินไม่ครบก็ตาม
กลุ่มนายประเดชยังคิดการใหญ่ จะออกหุ้นเพิ่มทุน NUSA จำนวน 13,000 ล้านหุ้น เพื่อแลกกับหุ้น WEH แต่มีเสียงติติงจากหลายฝ่าย จนแผนการเล่นแร่แปรธาตุครั้งนั้นต้องพับไป
การออกหุ้นเพิ่มทุน STELLA แลกหุ้น WEH ในสัดส่วน 1 หุ้น WEH ต่อ 2,000 หุ้น STELLA กลุ่มที่ได้รับประโยชน์เต็มๆคือกลุ่มนายประเดช
เพราะการควบคุมเสียงโหวตใน WEH ยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่หุ้น WEH ที่กลุ่มนายประเดชถือ และขายออกในครั้งนี้ จะเปลี่ยนมาถือแทนโดย STELLA เท่านั้น
และหุ้น STELLA ที่กลุ่มนายประเดชจะได้มาเพิ่มเติมอีกจำนวนมหาศาล ซึ่งพร้อมจะขายในตลาด เปลี่ยนมาเป็นเงินสดได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลความสูญเสียสียงโหวตใน WEH
การเล่นแร่แปรธาตุครั้งล่าสุด กลุ่มนายประเดชมีแต่ได้กับได้ ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยมีแต่เสียกับเสีย และเสียมาตลอด
เพราะฐานะทางการเงินของ STELLA กำลังย่ำแย่ ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง หุ้นถูกขึ้นเครื่องหมาย CB เตือนนักลงทุนถึงปัญหาฐานะการเงินของบริษัท ฯ และราคาหุ้นก็ต่ำเตี้ย ตกอยู่ในสภาพหุ้นตายซากที่นักลงทุนไม่อยากเข้าไปแตะต้อง
กลุ่มนายประเดชมีลูกเล่นใหม่ ๆ เพื่อให้กลุ่มตัวเองได้ประโยชน์อยู่เสมอ แต่กลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย STELLA เกือบ 1 หมื่นชีวิต ดูเหมือนจะนั่งรอวันตาย
เพราะไม่เห็นอนาคตใด ๆ ในหุ้น STELLA และไม่เห็นว่า ก.ล.ต. จะมีน้ำยาจัดการอะไรกับกลุ่มนายประเดชได้